เคาะข่าวริมโขง : ปลุก “ป๊อก” เชือด “ทหารกุ๊ย-ทหารแก่” หลังงามหน้าเชลียร์ไข่ “นช.แม้ว-ฮุนเซน” แลกเศษเงินเล็กน้อย ยอมทุบหม้อข้าวตัวเองทิ้ง ซัด "ไอ้โม่งสัตว์นรก" ยิงบึ้มใส่เวทีพันธมิตรฯ เป็นพวกขี้ขลาด ชอบขโมยลงมือลับหลัง แฉ "เสธ.ดัง" เตือนคนใกล้ชิดไม่ให้ไปร่วมชุมนุม จี้ "ป๊อก" เร่งจัดการ 2 ทหารชั่วทำลายเกียรติภูมิกองทัพ หลังเอาใจออกห่าง ออเซาะเขมร หมิ่นทหารไทยสู้กัมพูชาไม่ได้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ "เคาะข่าวริมโขง"
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น.วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน โดยมี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้ ได้มีการเชิญ นายประพันธ์ คูณมี และ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก ว่าที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดคุยถึงประเด็นข่าวที่น่าสนใจ กรณีลอบยิงระเบิดเข้าใส่สถานที่ชุมนุมพันธมิตรฯ ที่ท้องสนามหลวง ในช่วงค่ำคืนวานนี้ (15 พ.ย.) ที่มีการจัดงาน “รวมพลังแผ่นดินพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
เริ่มต้นรายการ นายชัชวาลย์ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจมั่นใจว่าระเบิดที่ยิงดังกล่าวเป็นชนิดเอ็ม 79 ซึ่งถือเป็นอาวุธสงคราม ที่คาดว่า จะยิงมาจากบริเวณกระทรวงกลาโหม ใกล้กับศาลเจ้าพ่อหลักเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อยิงถล่ม นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งถือเป็นการลอบสังหารครั้งที่ 2 ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ที่จะมีการชุมนุม เว็บไซต์ของ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ออกมาแจ้งเรื่องดังกล่าวล่วงหน้า และต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริงๆ นอกจากนี้ เป็นที่น่าสงสัย เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา มีภาพปรากฏว่า เสธ.แดง เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงที่กัมพูชา และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากทาง สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
นายประพันธ์ กล่าวเสริมประเด็นนี้ ว่า หลังเกิดเหตุการณ์ขึ้น ฝ่ายทหารออกมาปัดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ทั้งที่ไม่สมควรจะปฏิเสธเช่นนั้น เนื่องจากอาวุธที่ยิงชนิดเอ็ม 79 เป็นอาวุธสงครามที่ประชาชนคนธรรมดา คงยากที่จะหามาก่อการได้ อีกทั้งเหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ดังนั้น กองทัพมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ หรือดูแลชีวิตและความปลอดภัยประชาชนอยู่แล้ว โดยทางที่ดี ควรมีการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เว็บไซต์ เสธ.แดง มีความเคลื่อนไหว โดยแจ้งล่วงหน้า ผลสุดท้ายเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ ทางกองทัพต้องตอบให้ได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบว่าทำไม เสธ.แดง จึงเดินทางไปพบนักโทษหนีคดีอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ยังรับราชการกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนอยู่ ตนจึงตำหนิการกระทำดังกล่าว แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้น คือ ทางกองทัพกลับจัดการ หรือควบคุมความประพฤติของ เสธ.แดง ไม่ได้ ไม่หนำซ้ำ กองทัพยังออกมาระบุว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารเท่านั้นที่ยิงอาวุธสงครามชนิดเอ็ม 79 ได้ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ป่านนี้ประชาชนคนธรรมดาคงกลายเป็นโจรหมด ทางกองทัพปฏิเสธทั้งที่รู้ว่าความจริงว่าอาวุธชนิดดังกล่าวต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จึงมีความชำนาญพอที่จะใช้ได้
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า อีกอย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ ฝ่ายที่สมควรโดนติในเรื่องการทำงานด้วย คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่มาดูแลความสงบเรียบร้อยประชาชน กลับปล่อยให้เหตุร้ายดังกล่าวเกิดขึ้น ไม่หนำซ้ำ เมื่อเกิดเหตุยังไม่สามารถระงับเหตุได้ ทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ตลอด โดยวันนี้ ทางด้าน พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ออกมาตำหนิการทำงานลูกน้อง ซึ่งเมื่อตนเห็นก็รู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะเรื่องนี้ถ้าจะโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่เสียทีเดียวก็ไม่ได้ บุคคลที่สมควรถูกตำหนิเช่นเดียวกัน คือ พล.ต.ท.วรพงษ์ ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา แต่สั่งการให้ลูกน้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ ทำให้ตนอดคิดไม่ได้ว่า ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องจากใส่เสื้อสีแดงซ่อนอยู่ในเครื่องแบบหรือไม่ เพราะภาพปรากฏชัดเจน หลังเกิดเหตุการณ์ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับยืนดูและปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้น ทั้งที่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้ ทั้งที่ พันธมิตรฯ และผู้ชุมนุมก็อยู่ในพื้นที่ด้วยความสงบ ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหนให้เกิดความวุ่นวาย
“เหตุการณ์ลอบยิงระเบิดใส่พันธมิตรฯ มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะวิถีกระสุนมันชัดเจนว่าต้องการทำลาย นายสนธิ และประชาชนผู้รักชาติ ที่ออกมาร่วมแสดงพลัง โดยผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ คิดว่า หากขจัด นายสนธิ และประชาชนผู้รักชาติ ได้ ก็เท่ากับทำลายสิ่งกีดขวางทางที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับคืนอำนาจได้” นายประพันธ์ กล่าว
นายชัชวาลย์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีเหตุผลอื่น เพราะเป็นการยิงนัดเดียวแบบหวังผล ซึ่งเป้าหมายต้องการยิงมาบริเวณเวทีปราศรัยที่ นายสนธิ ยืนโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว แต่ว่าโชคดีที่กระสุนพลาดเป้า ทำให้เป็นแค่ระเบิดเสียงดังเท่านั้น โดยตนถือว่าคนที่สั่งการและพรรคพวกที่ลงมือเป็นพวกหมาลอบกัด ที่ใจไม่ถึง ไม่กล้าสู้ต่อหน้า จึงทำได้แค่ลอบทำร้ายผู้อื่น ตนอยากฝากไปถึง เสธ.แดง และ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.รมน.) ที่ปัจจุบันพลิกผันมารับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้รู้ว่าการกระทำของตัวเอง ส่อไปในทางไม่รู้จักความชั่ว ความดี ทั้งที่เป็นนายทหารด้วยกันทั้งคู่ แต่ยังทำตัวเป็นพวกไข่แม้ว และไข่ฮุนเซน ที่ไปร่วมมือกับคนไม่หวังดีต่อประเทศ มาทำร้ายแผ่นดินบ้านเกิดตัวเอง โดยอดีตที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาพึ่งพิงความช่วยเหลือจากไทยมาตลอด แต่เวลานี้กลับมีคนไทยกลุ่มหนึ่ง ทำตัวไปอาศัยใบบุญผู้นำกัมพูชา ยอมตกอยู่ใต้เบื้องอำนาจ ที่สามารถชี้นิ้วสั่งการให้ทำได้ทุกอย่าง เพื่อแลกกับการไม่ถูกส่งตัวมาดำเนินคดีในไทย
“เหตุการณ์ลอบยิงเวทีพันธมิตรฯ ผมขอปรามาสเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้แน่ เพราะที่ผ่านมา ก็เกิดเช่นนี้หลายครั้งแล้วเรื่องก็เงียบหายไป สิ่งเหล่านี้ มันน่าคิดว่า ครั้งนี้แม้ผู้ชุมนุมที่มารวมตัวกัน เพียงแค่ต้องการแสดงออกว่ารักชาติ และพร้อมปกป้องสถาบัน แต่ทำไมต้องเอาอาวุธร้ายแรงมายิงใส่ และทำไมกองทัพ หรือทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถึงปล่อยให้พวกโจรการเมืองมาหย่ามใจลงมือยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์กลางเมือง อีกทั้งลูกกระสุนดังกล่าว ไปตกอยู่ใกล้วัดพระแก้ว ผมอยากถามว่า ถ้าเป็นฝีมือประชาชนธรรมดาจะกล้าใช้อาวุธสงครามยิงเช่นนั้นหรือไม่ ที่ผ่านมา มันชัดเจนว่าฝ่ายใครกันที่จาบจ้วงสถาบัน และพยายามล้มเจ้ามาโดยตลอด” นายชัชวาลย์ กล่าว
นายชัชวาลย์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกว่าทราบข่าวล่วงหน้า แต่ทำไมยังปล่อยให้อันธพาลการเมือง มาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่ชุมนุมอย่างสงบ ดังนั้น ตนขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทบทวนบทบาทเรื่องนี้ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องมาร่วมกันยุติการกระทำของบุคคลที่ไม่หวังดีกับประเทศ โดยตนอยากฝากไปถึงกองทัพ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยังมีความรักชาติ รักประเทศไทย ให้มาช่วยกันขจัดคนชั่ว อย่าปล่อยให้ลอยนวลเช่นนี้ เพราะเวลานี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตและความปลอดภัยประชาชน
น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า วิถีกระสุนต้องการพุ่งเป้าสังหาร นายสนธิ แต่พลาด ซึ่งเรื่องนี้ ฝ่ายที่รับผิดชอบโดยตรง คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะก่อนหน้านี้ เคยแจ้งจะใช้กำลังทั้งหมด 1,500 คน แต่ปรากฏว่าไปปฏิบัติในพื้นที่จริงๆ กี่คน แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์ ได้เข้าไปช่วยเหลือหรือระงับเหตุร้ายใดๆ หรือไม่ มีแต่ฝ่ายที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
น.ส.อัญชะลี กล่าวอีกว่า ประเด็นเหตุการณ์นี้ เท่าที่ตนทราบมีรายงานข่าวมาว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุ นอกจาก เสธ.แดง จะแจ้งรายละเอียดไว้ในเว็บไซต์แล้ว ทางเจ้าตัวยังเอ่ยปากเตือนคนใกล้ชิดทุกคนว่า อย่าออกมาร่วมชุมนุมครั้งนี้ เพราะจะเกิดเหตุร้ายขึ้น โดยสิ่งเหล่านี้ชัดเจนในตัวบทว่าเป็นเช่นไร ที่ผ่านมา ไม่ว่าพี่น้องพันธมิตรฯ จะต้องบาดเจ็บหรือล้มตาย เพราะอาวุธสงครามจากการลอบยิง แต่ตนอยากเรียกร้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ว่าเป็นสิ่งที่มีค่า ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับใครต้องจับมือคนทำมารับผิดชอบให้ได้
นายประพันธ์ กล่าวเสริมว่า ตนไม่รู้ว่า เสธ.แดง เป็นผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกด้านไหน แต่ไม่ว่าจะมีความเชี่ยวชาญชำนาญหรืออย่างไร ก็ไม่มีสิทธิ์ไปเคลื่อนไหวในเว็บไซต์ และก่อการเช่นนั้น เพราะอย่างน้อยที่สุดก็เป็นทหารของกองทัพ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่ง แต่ทำไมมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งทางกองทัพ ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ ตนจึงขอจี้คำถามฝากไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ว่าจะปล่อยให้คนอย่าง เสธ.แดง มาทำลายเกียรติของกองทัพหรือ เพราะถ้าหากปล่อยไป กองทัพอาจกลายสภาพเป็นกองโจรได้ เนื่องจากพอมีรายงานในเว็บไซต์ จากนั้นเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริงทุกครั้ง
น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า หลังเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป ทางรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องดังกล่าวเลย ทำเหมือนไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น ทำเหมือนว่าเมื่อคืนวาน ไม่มีการลอบยิงด้วยอาวุธสงครามกลางเมือง ใกล้กับสถานที่สำคัญมากมาย ตนอยากฝากคำถามถึง นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ เช่นกัน ว่า ลืมไปแล้วหรือไม่ เลือดเนื้อที่พี่น้องพันธมิตรฯ บาดเจ็บและล้มตาย เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์มีวันนี้ ในวันที่ได้เป็นรัฐบาลสมใจ สิ่งเหล่านี้ เพียงพอจะทำให้นึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นได้หรือไม่
นายชัชวาลย์ กล่าวว่า ตอนไปที่กัมพูชา เสธ.แดง ระบุว่า ปัญหาความขัดแย้งทุกอย่างมาจากตัว นายอภิสิทธิ์ ที่มีความอิจฉา พ.ต.ท.ทักษิณ และ สมเด็จฯ ฮุนเซน
น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า ยิ่งกว่านั้น ทางด้าน พล.อ.พัลลภ ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว โดยโทษว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้น นอกจากนี้ ยังให้สัมภาษณ์เยาะเย้ยและหยามกองทัพไทย ว่า หากสู้กับกัมพูชาก็แพ้ในที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ ทางแม่ทัพภาค 3 ได้ออกมาตอบโต้ว่า คำพูดดังกล่าว พล.อ.พัลลภ ไม่น่าพูด เพราะศักยภาพกองทัพไทยไม่ได้เป็นรองประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชา อีกทั้งยังระบุว่า สงครามระหว่างประเทศไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และเชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้น
นายประพันธ์ กล่าวเสริมประเด็นนี้ ว่า คำพูดของ พล.อ.พัลลภ ถือเป็นการดูหมิ่นทหารและกองทัพไทย รวมทั้งตัวเองด้วย เพราะตัวเองก็เคยรับราชการเป็นทหารในกองทัพ แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนบทบาทไปเป็นทหารในกองทัพ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ซึ่งตนเชื่อว่า หากไทยจะแพ้สงครามกัมพูชา ก็เพราะมีทหารอย่าง พล.อ.พัลลภ ต่างหาก โดยความเป็นจริงแล้ว ตนยังเชื่อว่าศักยภาพทหารไทยไม่เป็นรองใครแน่
นายชัชวาลย์ กล่าวประเด็นนี้ ว่า การที่ พล.อ.พัลลภ ให้สัมภาษณ์ว่าไทยจะรบแพ้กัมพูชา ถือเป็นการตบหน้ากองทัพ และ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ปล่อยให้ทหารแก่มาพูดเช่นนี้ และยังปล่อยให้ทหารจำนวนหนึ่งไปรับใช้ผู้นำกัมพูชา ซึ่งเท่าที่ตนทราบก็มีทั้งในและนอกราชการ โดยคนพวกนี้เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ไปสมคบคิดกับ สมเด็จฯ ฮุนเซน เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รวมทั้งต้องการล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ซึ่งถ้าหากกองทัพยังนิ่งเฉย ปล่อยให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวกระทำการเช่นนี้ต่อไป เชื่อได้ว่า จะมีประชาชนลุกขึ้นมาทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองแทน เนื่องจากอดกลั้นทนดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ไหว
น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า อีกคนที่มีความเคลื่อนไหวหลังจากเกิดเหตุการณ์ลอบยิงเวทีพันธมิตรฯ คือ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ออกมาแก้ตัวแทนนายใหญ่ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้คิดทำชั่วเช่นนั้น โดยให้ความเห็นว่าปล่อยเรื่องนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนเอาตัวคนทำผิดมาลงโทษ รวมทั้งแสร้งแสดงความเสียใจกับผู้ได้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย
นายประพันธ์ กล่าวประเด็นนี้ ว่า ตนเสียดายทุนหลวงที่ส่งให้ นายนพดล เล่าเรียนมาจนจบกฏหมาย แต่กลับไม่ได้ทำหน้าที่พลเมืองที่ดีและไปร่วมมือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการทำร้ายประเทศ นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมไปทำตัวสวามิภักดิ์กับผู้นำกัมพูชา ด้วย ทั้งที่ การกระทำที่ผ่านมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชัดเจนว่าคิดอย่างไรกับประเทศไทย ตัว นายนพดล กลับปกป้องและเห็นว่าไม่เคยคิดทำชั่ว
ช่วงสุดท้ายของรายการ น.ส.อัญชะลี ได้กล่าวถึงกรณีหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส เสนอข่าวบิดเบือนกับเหตุการณ์ยิงระเบิดใส่เวทีพันธมิตรฯ โดยทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้รายงานว่า หลังจากที่เกิดเหตุร้าย นายสนธิ ซึ่งยืนอยู่บนเวทีได้ทำท่าจะกระโดดลงจากเวที เพื่อหนีกระสุน ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นข่าวที่บิดเบือน เพราะ นายสนธิ กำลังปราศรัยในส่วนการต่อสู้เพื่อในหลวง ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แบบไม่ได้หลีกหนีไปไหน แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้น ส่วนทางด้านโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส ได้นำเสนอข่าวว่า หลังเกิดการยิงระเบิด เวทีพันธมิตรฯ ได้ปิดตัวลง และประชาชนทยอยกลับกันหมด ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน ทั้งสองคำกล่าวอ้าง มีหลักฐานเป็นเทปบันทึกภาพ เนื่องจากมีการถ่ายทอดสดในช่องเอเอสทีวี โดยจะเห็นได้ว่า แม้เวทีพันธมิตรฯ จะโดนป่วน แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง
นายประพันธ์ กล่าวว่า การต่อสู้ทั้ง 193 วัน ที่พี่น้องพันธมิตรฯ หลอมรวมกัน ถือว่าเป็นการขจัดความกลัวให้หมดไปจากจิตใจแล้ว โดยเมื่อครั้งที่มียิงระเบิดเข้าทำเนียบฯ ตอนชุมนุมอยู่ พี่น้องพันธมิตรฯ ก็ไม่เคยถอย สู้จนได้รับชัยชนะ ตนจึงเชื่อว่า ภาพเหตุการณ์ความจริง จะสะท้อนการทำหน้าที่ของสื่อที่ชอบบิดเบือนข้อมูลความจริง
นายชัชวาลย์ กล่าวว่า ตนคิดว่า ปัญหาบ้านเมืองทุกอย่างอยู่ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ หากอดีตนายกรัฐมนตรี ยังคงมีชีวิตอยู่เชื่อว่าบ้านเมืองคงหาความสงบยาก เพราะจะใช้เงินจ้างคนอย่าง พล.อ.พัลลภ หรือแม้แต่ตัว พล.อ.ชวลิต ให้เป็นตัวเดินเกมป่วนบ้านเมืองอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อล้มระบอบการปกครองและล้มสถาบันเบื้องสูง โดยมีผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเป็นกองกำลังสนับสนุนในการปฏิบัติการ ซึ่งทั้งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และทาง สมเด็จฯ ฮุนเซน ต่างมีการเจรจาผลประโยชน์ร่วมกัน โดยสมัยที่ พ.ต.ท.ทัษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีไทย ก็เคยเอื้อประโยชน์หลายอย่างให้กัมพูชา
“สำหรับผมแล้วคิดว่าเหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ก็มีส่วนดี ตรงที่ถือเป็นการตัดตอนแผนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้บางส่วน เพราะถ้าหากปล่อยให้มีอำนาจในมือต่อไป บ้านเมืองจะย่อยยับมากกว่านี้ แต่เวลานี้เมื่อเห็นปฏิกิริยาของกองทัพที่นิ่งเฉยก็น่าห่วง เพราะทำให้คนไทยรู้สึกว่า ไม่มีกันชนปกป้องบ้านเมือง” นายชัชวาลย์ กล่าว
น.ส.อัญชะลี กล่าวปิดท้ายว่า ตนคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มีพฤติกรรมแบบใจโลเล คือ ทำทุกอย่างไม่สนใจใคร แค่ขอให้ตัวเองอยู่ในอำนาจได้นานที่สุด ซึ่งสุดท้ายแล้วรัฐบาลอย่างไรก็อยู่ไม่ได้ ถ้าหากประชาชนเดือดร้อน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ "เคาะข่าวริมโขง"
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น.วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน โดยมี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้ ได้มีการเชิญ นายประพันธ์ คูณมี และ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก ว่าที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดคุยถึงประเด็นข่าวที่น่าสนใจ กรณีลอบยิงระเบิดเข้าใส่สถานที่ชุมนุมพันธมิตรฯ ที่ท้องสนามหลวง ในช่วงค่ำคืนวานนี้ (15 พ.ย.) ที่มีการจัดงาน “รวมพลังแผ่นดินพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
เริ่มต้นรายการ นายชัชวาลย์ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจมั่นใจว่าระเบิดที่ยิงดังกล่าวเป็นชนิดเอ็ม 79 ซึ่งถือเป็นอาวุธสงคราม ที่คาดว่า จะยิงมาจากบริเวณกระทรวงกลาโหม ใกล้กับศาลเจ้าพ่อหลักเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อยิงถล่ม นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งถือเป็นการลอบสังหารครั้งที่ 2 ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ที่จะมีการชุมนุม เว็บไซต์ของ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ออกมาแจ้งเรื่องดังกล่าวล่วงหน้า และต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริงๆ นอกจากนี้ เป็นที่น่าสงสัย เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา มีภาพปรากฏว่า เสธ.แดง เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงที่กัมพูชา และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากทาง สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
นายประพันธ์ กล่าวเสริมประเด็นนี้ ว่า หลังเกิดเหตุการณ์ขึ้น ฝ่ายทหารออกมาปัดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ทั้งที่ไม่สมควรจะปฏิเสธเช่นนั้น เนื่องจากอาวุธที่ยิงชนิดเอ็ม 79 เป็นอาวุธสงครามที่ประชาชนคนธรรมดา คงยากที่จะหามาก่อการได้ อีกทั้งเหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ดังนั้น กองทัพมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ หรือดูแลชีวิตและความปลอดภัยประชาชนอยู่แล้ว โดยทางที่ดี ควรมีการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เว็บไซต์ เสธ.แดง มีความเคลื่อนไหว โดยแจ้งล่วงหน้า ผลสุดท้ายเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ ทางกองทัพต้องตอบให้ได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบว่าทำไม เสธ.แดง จึงเดินทางไปพบนักโทษหนีคดีอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ยังรับราชการกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนอยู่ ตนจึงตำหนิการกระทำดังกล่าว แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้น คือ ทางกองทัพกลับจัดการ หรือควบคุมความประพฤติของ เสธ.แดง ไม่ได้ ไม่หนำซ้ำ กองทัพยังออกมาระบุว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารเท่านั้นที่ยิงอาวุธสงครามชนิดเอ็ม 79 ได้ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ป่านนี้ประชาชนคนธรรมดาคงกลายเป็นโจรหมด ทางกองทัพปฏิเสธทั้งที่รู้ว่าความจริงว่าอาวุธชนิดดังกล่าวต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จึงมีความชำนาญพอที่จะใช้ได้
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า อีกอย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ ฝ่ายที่สมควรโดนติในเรื่องการทำงานด้วย คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่มาดูแลความสงบเรียบร้อยประชาชน กลับปล่อยให้เหตุร้ายดังกล่าวเกิดขึ้น ไม่หนำซ้ำ เมื่อเกิดเหตุยังไม่สามารถระงับเหตุได้ ทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ตลอด โดยวันนี้ ทางด้าน พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ออกมาตำหนิการทำงานลูกน้อง ซึ่งเมื่อตนเห็นก็รู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะเรื่องนี้ถ้าจะโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่เสียทีเดียวก็ไม่ได้ บุคคลที่สมควรถูกตำหนิเช่นเดียวกัน คือ พล.ต.ท.วรพงษ์ ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา แต่สั่งการให้ลูกน้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ ทำให้ตนอดคิดไม่ได้ว่า ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องจากใส่เสื้อสีแดงซ่อนอยู่ในเครื่องแบบหรือไม่ เพราะภาพปรากฏชัดเจน หลังเกิดเหตุการณ์ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับยืนดูและปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้น ทั้งที่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้ ทั้งที่ พันธมิตรฯ และผู้ชุมนุมก็อยู่ในพื้นที่ด้วยความสงบ ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหนให้เกิดความวุ่นวาย
“เหตุการณ์ลอบยิงระเบิดใส่พันธมิตรฯ มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะวิถีกระสุนมันชัดเจนว่าต้องการทำลาย นายสนธิ และประชาชนผู้รักชาติ ที่ออกมาร่วมแสดงพลัง โดยผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ คิดว่า หากขจัด นายสนธิ และประชาชนผู้รักชาติ ได้ ก็เท่ากับทำลายสิ่งกีดขวางทางที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับคืนอำนาจได้” นายประพันธ์ กล่าว
นายชัชวาลย์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีเหตุผลอื่น เพราะเป็นการยิงนัดเดียวแบบหวังผล ซึ่งเป้าหมายต้องการยิงมาบริเวณเวทีปราศรัยที่ นายสนธิ ยืนโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว แต่ว่าโชคดีที่กระสุนพลาดเป้า ทำให้เป็นแค่ระเบิดเสียงดังเท่านั้น โดยตนถือว่าคนที่สั่งการและพรรคพวกที่ลงมือเป็นพวกหมาลอบกัด ที่ใจไม่ถึง ไม่กล้าสู้ต่อหน้า จึงทำได้แค่ลอบทำร้ายผู้อื่น ตนอยากฝากไปถึง เสธ.แดง และ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.รมน.) ที่ปัจจุบันพลิกผันมารับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้รู้ว่าการกระทำของตัวเอง ส่อไปในทางไม่รู้จักความชั่ว ความดี ทั้งที่เป็นนายทหารด้วยกันทั้งคู่ แต่ยังทำตัวเป็นพวกไข่แม้ว และไข่ฮุนเซน ที่ไปร่วมมือกับคนไม่หวังดีต่อประเทศ มาทำร้ายแผ่นดินบ้านเกิดตัวเอง โดยอดีตที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาพึ่งพิงความช่วยเหลือจากไทยมาตลอด แต่เวลานี้กลับมีคนไทยกลุ่มหนึ่ง ทำตัวไปอาศัยใบบุญผู้นำกัมพูชา ยอมตกอยู่ใต้เบื้องอำนาจ ที่สามารถชี้นิ้วสั่งการให้ทำได้ทุกอย่าง เพื่อแลกกับการไม่ถูกส่งตัวมาดำเนินคดีในไทย
“เหตุการณ์ลอบยิงเวทีพันธมิตรฯ ผมขอปรามาสเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้แน่ เพราะที่ผ่านมา ก็เกิดเช่นนี้หลายครั้งแล้วเรื่องก็เงียบหายไป สิ่งเหล่านี้ มันน่าคิดว่า ครั้งนี้แม้ผู้ชุมนุมที่มารวมตัวกัน เพียงแค่ต้องการแสดงออกว่ารักชาติ และพร้อมปกป้องสถาบัน แต่ทำไมต้องเอาอาวุธร้ายแรงมายิงใส่ และทำไมกองทัพ หรือทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถึงปล่อยให้พวกโจรการเมืองมาหย่ามใจลงมือยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์กลางเมือง อีกทั้งลูกกระสุนดังกล่าว ไปตกอยู่ใกล้วัดพระแก้ว ผมอยากถามว่า ถ้าเป็นฝีมือประชาชนธรรมดาจะกล้าใช้อาวุธสงครามยิงเช่นนั้นหรือไม่ ที่ผ่านมา มันชัดเจนว่าฝ่ายใครกันที่จาบจ้วงสถาบัน และพยายามล้มเจ้ามาโดยตลอด” นายชัชวาลย์ กล่าว
นายชัชวาลย์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกว่าทราบข่าวล่วงหน้า แต่ทำไมยังปล่อยให้อันธพาลการเมือง มาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่ชุมนุมอย่างสงบ ดังนั้น ตนขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทบทวนบทบาทเรื่องนี้ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องมาร่วมกันยุติการกระทำของบุคคลที่ไม่หวังดีกับประเทศ โดยตนอยากฝากไปถึงกองทัพ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยังมีความรักชาติ รักประเทศไทย ให้มาช่วยกันขจัดคนชั่ว อย่าปล่อยให้ลอยนวลเช่นนี้ เพราะเวลานี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตและความปลอดภัยประชาชน
น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า วิถีกระสุนต้องการพุ่งเป้าสังหาร นายสนธิ แต่พลาด ซึ่งเรื่องนี้ ฝ่ายที่รับผิดชอบโดยตรง คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะก่อนหน้านี้ เคยแจ้งจะใช้กำลังทั้งหมด 1,500 คน แต่ปรากฏว่าไปปฏิบัติในพื้นที่จริงๆ กี่คน แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์ ได้เข้าไปช่วยเหลือหรือระงับเหตุร้ายใดๆ หรือไม่ มีแต่ฝ่ายที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
น.ส.อัญชะลี กล่าวอีกว่า ประเด็นเหตุการณ์นี้ เท่าที่ตนทราบมีรายงานข่าวมาว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุ นอกจาก เสธ.แดง จะแจ้งรายละเอียดไว้ในเว็บไซต์แล้ว ทางเจ้าตัวยังเอ่ยปากเตือนคนใกล้ชิดทุกคนว่า อย่าออกมาร่วมชุมนุมครั้งนี้ เพราะจะเกิดเหตุร้ายขึ้น โดยสิ่งเหล่านี้ชัดเจนในตัวบทว่าเป็นเช่นไร ที่ผ่านมา ไม่ว่าพี่น้องพันธมิตรฯ จะต้องบาดเจ็บหรือล้มตาย เพราะอาวุธสงครามจากการลอบยิง แต่ตนอยากเรียกร้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ว่าเป็นสิ่งที่มีค่า ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับใครต้องจับมือคนทำมารับผิดชอบให้ได้
นายประพันธ์ กล่าวเสริมว่า ตนไม่รู้ว่า เสธ.แดง เป็นผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกด้านไหน แต่ไม่ว่าจะมีความเชี่ยวชาญชำนาญหรืออย่างไร ก็ไม่มีสิทธิ์ไปเคลื่อนไหวในเว็บไซต์ และก่อการเช่นนั้น เพราะอย่างน้อยที่สุดก็เป็นทหารของกองทัพ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่ง แต่ทำไมมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งทางกองทัพ ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ ตนจึงขอจี้คำถามฝากไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ว่าจะปล่อยให้คนอย่าง เสธ.แดง มาทำลายเกียรติของกองทัพหรือ เพราะถ้าหากปล่อยไป กองทัพอาจกลายสภาพเป็นกองโจรได้ เนื่องจากพอมีรายงานในเว็บไซต์ จากนั้นเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริงทุกครั้ง
น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า หลังเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป ทางรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องดังกล่าวเลย ทำเหมือนไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น ทำเหมือนว่าเมื่อคืนวาน ไม่มีการลอบยิงด้วยอาวุธสงครามกลางเมือง ใกล้กับสถานที่สำคัญมากมาย ตนอยากฝากคำถามถึง นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ เช่นกัน ว่า ลืมไปแล้วหรือไม่ เลือดเนื้อที่พี่น้องพันธมิตรฯ บาดเจ็บและล้มตาย เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์มีวันนี้ ในวันที่ได้เป็นรัฐบาลสมใจ สิ่งเหล่านี้ เพียงพอจะทำให้นึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นได้หรือไม่
นายชัชวาลย์ กล่าวว่า ตอนไปที่กัมพูชา เสธ.แดง ระบุว่า ปัญหาความขัดแย้งทุกอย่างมาจากตัว นายอภิสิทธิ์ ที่มีความอิจฉา พ.ต.ท.ทักษิณ และ สมเด็จฯ ฮุนเซน
น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า ยิ่งกว่านั้น ทางด้าน พล.อ.พัลลภ ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว โดยโทษว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้น นอกจากนี้ ยังให้สัมภาษณ์เยาะเย้ยและหยามกองทัพไทย ว่า หากสู้กับกัมพูชาก็แพ้ในที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ ทางแม่ทัพภาค 3 ได้ออกมาตอบโต้ว่า คำพูดดังกล่าว พล.อ.พัลลภ ไม่น่าพูด เพราะศักยภาพกองทัพไทยไม่ได้เป็นรองประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชา อีกทั้งยังระบุว่า สงครามระหว่างประเทศไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และเชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้น
นายประพันธ์ กล่าวเสริมประเด็นนี้ ว่า คำพูดของ พล.อ.พัลลภ ถือเป็นการดูหมิ่นทหารและกองทัพไทย รวมทั้งตัวเองด้วย เพราะตัวเองก็เคยรับราชการเป็นทหารในกองทัพ แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนบทบาทไปเป็นทหารในกองทัพ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ซึ่งตนเชื่อว่า หากไทยจะแพ้สงครามกัมพูชา ก็เพราะมีทหารอย่าง พล.อ.พัลลภ ต่างหาก โดยความเป็นจริงแล้ว ตนยังเชื่อว่าศักยภาพทหารไทยไม่เป็นรองใครแน่
นายชัชวาลย์ กล่าวประเด็นนี้ ว่า การที่ พล.อ.พัลลภ ให้สัมภาษณ์ว่าไทยจะรบแพ้กัมพูชา ถือเป็นการตบหน้ากองทัพ และ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ปล่อยให้ทหารแก่มาพูดเช่นนี้ และยังปล่อยให้ทหารจำนวนหนึ่งไปรับใช้ผู้นำกัมพูชา ซึ่งเท่าที่ตนทราบก็มีทั้งในและนอกราชการ โดยคนพวกนี้เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ไปสมคบคิดกับ สมเด็จฯ ฮุนเซน เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รวมทั้งต้องการล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ซึ่งถ้าหากกองทัพยังนิ่งเฉย ปล่อยให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวกระทำการเช่นนี้ต่อไป เชื่อได้ว่า จะมีประชาชนลุกขึ้นมาทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองแทน เนื่องจากอดกลั้นทนดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ไหว
น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า อีกคนที่มีความเคลื่อนไหวหลังจากเกิดเหตุการณ์ลอบยิงเวทีพันธมิตรฯ คือ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ออกมาแก้ตัวแทนนายใหญ่ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้คิดทำชั่วเช่นนั้น โดยให้ความเห็นว่าปล่อยเรื่องนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนเอาตัวคนทำผิดมาลงโทษ รวมทั้งแสร้งแสดงความเสียใจกับผู้ได้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย
นายประพันธ์ กล่าวประเด็นนี้ ว่า ตนเสียดายทุนหลวงที่ส่งให้ นายนพดล เล่าเรียนมาจนจบกฏหมาย แต่กลับไม่ได้ทำหน้าที่พลเมืองที่ดีและไปร่วมมือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการทำร้ายประเทศ นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมไปทำตัวสวามิภักดิ์กับผู้นำกัมพูชา ด้วย ทั้งที่ การกระทำที่ผ่านมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชัดเจนว่าคิดอย่างไรกับประเทศไทย ตัว นายนพดล กลับปกป้องและเห็นว่าไม่เคยคิดทำชั่ว
ช่วงสุดท้ายของรายการ น.ส.อัญชะลี ได้กล่าวถึงกรณีหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส เสนอข่าวบิดเบือนกับเหตุการณ์ยิงระเบิดใส่เวทีพันธมิตรฯ โดยทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้รายงานว่า หลังจากที่เกิดเหตุร้าย นายสนธิ ซึ่งยืนอยู่บนเวทีได้ทำท่าจะกระโดดลงจากเวที เพื่อหนีกระสุน ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นข่าวที่บิดเบือน เพราะ นายสนธิ กำลังปราศรัยในส่วนการต่อสู้เพื่อในหลวง ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แบบไม่ได้หลีกหนีไปไหน แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้น ส่วนทางด้านโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส ได้นำเสนอข่าวว่า หลังเกิดการยิงระเบิด เวทีพันธมิตรฯ ได้ปิดตัวลง และประชาชนทยอยกลับกันหมด ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน ทั้งสองคำกล่าวอ้าง มีหลักฐานเป็นเทปบันทึกภาพ เนื่องจากมีการถ่ายทอดสดในช่องเอเอสทีวี โดยจะเห็นได้ว่า แม้เวทีพันธมิตรฯ จะโดนป่วน แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง
นายประพันธ์ กล่าวว่า การต่อสู้ทั้ง 193 วัน ที่พี่น้องพันธมิตรฯ หลอมรวมกัน ถือว่าเป็นการขจัดความกลัวให้หมดไปจากจิตใจแล้ว โดยเมื่อครั้งที่มียิงระเบิดเข้าทำเนียบฯ ตอนชุมนุมอยู่ พี่น้องพันธมิตรฯ ก็ไม่เคยถอย สู้จนได้รับชัยชนะ ตนจึงเชื่อว่า ภาพเหตุการณ์ความจริง จะสะท้อนการทำหน้าที่ของสื่อที่ชอบบิดเบือนข้อมูลความจริง
นายชัชวาลย์ กล่าวว่า ตนคิดว่า ปัญหาบ้านเมืองทุกอย่างอยู่ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ หากอดีตนายกรัฐมนตรี ยังคงมีชีวิตอยู่เชื่อว่าบ้านเมืองคงหาความสงบยาก เพราะจะใช้เงินจ้างคนอย่าง พล.อ.พัลลภ หรือแม้แต่ตัว พล.อ.ชวลิต ให้เป็นตัวเดินเกมป่วนบ้านเมืองอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อล้มระบอบการปกครองและล้มสถาบันเบื้องสูง โดยมีผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเป็นกองกำลังสนับสนุนในการปฏิบัติการ ซึ่งทั้งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และทาง สมเด็จฯ ฮุนเซน ต่างมีการเจรจาผลประโยชน์ร่วมกัน โดยสมัยที่ พ.ต.ท.ทัษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีไทย ก็เคยเอื้อประโยชน์หลายอย่างให้กัมพูชา
“สำหรับผมแล้วคิดว่าเหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ก็มีส่วนดี ตรงที่ถือเป็นการตัดตอนแผนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้บางส่วน เพราะถ้าหากปล่อยให้มีอำนาจในมือต่อไป บ้านเมืองจะย่อยยับมากกว่านี้ แต่เวลานี้เมื่อเห็นปฏิกิริยาของกองทัพที่นิ่งเฉยก็น่าห่วง เพราะทำให้คนไทยรู้สึกว่า ไม่มีกันชนปกป้องบ้านเมือง” นายชัชวาลย์ กล่าว
น.ส.อัญชะลี กล่าวปิดท้ายว่า ตนคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มีพฤติกรรมแบบใจโลเล คือ ทำทุกอย่างไม่สนใจใคร แค่ขอให้ตัวเองอยู่ในอำนาจได้นานที่สุด ซึ่งสุดท้ายแล้วรัฐบาลอย่างไรก็อยู่ไม่ได้ ถ้าหากประชาชนเดือดร้อน