xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : “กัมพูชา” ดักฟังโทรศัพท์สถานทูตไทย...ไม่ต้องรับผิดเลยหรือ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ผู้ออกมาปูดเรื่องกัมพูชามีเทปสนทนาระหว่างนายคำรบกับนายศิวรักษ์ แถมอ้างว่ามีเทปสนทนาระหว่างนายกษิตกับนายคำรบด้วย
อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” และ “นางสิมารักษ์” มารดานายศิวรักษ์ ยังคงสาละวนอยู่กับการยืนยันว่า ไม่ได้จัดฉากกรณีจับ-ปล่อยนายศิวรักษ์ แถมมุ่งแต่จะให้ “นายคำรบ” เลขานุการเอกสถานทูตไทยในกัมพูชา ออกมารับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งจะให้ “นายกษิต” รมว.ต่างประเทศ เป็นผู้บงการจารกรรมข้อมูลการบินของทักษิณให้ได้นั้น ได้มีประเด็นใหม่หลุดออกมาจากปากนายศิวรักษ์ นับเป็นประเด็นใหญ่และร้ายแรง คือ กรณีที่กัมพูชาดักฟังโทรศัพท์ทูตไทย แต่พรรคเพื่อไทยกลับไม่กล้านำมาขยายความ หรือกลัวว่าความผิดจะกลับไปรัดคอ “ฮุนเซน” เพื่อนแท้ของทักษิณ

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

กรณีทางการกัมพูชาจับกุมนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ที่ถูกกล่าวหาว่าจารกรรมข้อมูลการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา และในที่สุดก็มีการพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์อย่างรวดเร็วหลังศาลตัดสินคดีแค่ 3 วัน ไม่เพียงถูกมองว่าเป็นละครปาหี่หรือเป็นเกมทางการเมืองที่ พ.ต.ท.ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย และสมเด็จฯ ฮุนเซน หวังผลประโยชน์บางอย่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยังทำให้สังคมได้เห็นบางพรรคบางฝ่ายบิดเบือนประเด็นว่าใครคือต้นเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นกันแน่ สังเกตได้จากการกระทำของพรรคเพื่อไทยและนางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ ที่เรียกร้องให้นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกสถานทูตไทยในกัมพูชา ผู้ที่โทรศัพท์ขอข้อมูลการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ จากนายศิวรักษ์ ออกมารับผิดชอบที่ทำให้นายศิวรักษ์ต้องถูกศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุก แม้จะได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาแล้วก็ตาม โดยอ้างว่า หากนายคำรบไม่โทร.หานายศิวรักษ์ เรื่องต่างๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น แทนที่จะมองว่า ต้นเหตุของปัญหาก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ที่ท้าทายทางการไทยด้วยการบินเข้าไปยังกัมพูชา

เป็นที่น่าสังเกตว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยไม่เพียงเคลื่อนไหวกดดันให้นายคำรบต้องรับผิดชอบกรณีนายศิวรักษ์ถูกจับ แต่ยังมีเป้าหมายต้องการดิสเครดิตและบีบให้นายกษิต ภิรมย์ ต้องพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย โดยหาว่านายกษิตน่าจะเป็นผู้บงการให้นายคำรบขอข้อมูลการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ความจริงแล้ว ข้อมูลการบินดังกล่าวไม่ใช่ความลับ แม้แต่นายศิวรักษ์เองก็ยืนยันทั้งทางจดหมายและในชั้นศาลว่าข้อมูลที่ให้นายคำรบไม่ใช่ความลับ และตนก็ไม่รู้ว่าเครื่องบินที่ลงจอดในกัมพูชาคือเครื่องบินที่ พ.ต.ท.ทักษิณโดยสารมา

ขณะที่ความสนใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย จ้องแต่จะควานหาว่าใครบงการให้นายคำรบขอข้อมูลการบินของตน ได้ปรากฏประเด็นสำคัญที่น่าประณามพฤติกรรมของทางการกัมพูชาอย่างยิ่ง เมื่อนายศิวรักษ์ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.โดยยอมรับว่า ถูกฝ่ายกัมพูชาบันทึกการสนทนาระหว่างที่มีการโทรศัพท์พูดคุยกับนายคำรบ เหตุที่ตนทราบเพราะทางฝ่ายกัมพูชามีการบันทึกการสนทนาและรายละเอียดการโทรศัพท์เอาไว้ น่าแปลกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ไม่ยอมพูดถึงประเด็นดังกล่าว ทั้งที่การดักฟังโทรศัพท์ของทูตที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ถือเป็นเรื่องใหญ่และไม่สามารถทำได้ เพราะได้รับการคุ้มครอง ทั้งในแง่กฎหมายของประเทศนั้นๆ เอง และในระดับสนธิสัญญาระหว่างประเทศ แต่ทางการกัมพูชากลับทำ แล้วยังกล้าโกหกคำโตก่อนหน้านี้ว่าไม่ได้ดักฟัง-ไม่มีเทปการสนทนาระหว่างนายคำรบกับนายศิวรักษ์ หรือระหว่างนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศกับนายคำรบ ตามที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ออกมาปูดก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

ถ้ายังจำกันได้ นายจตุพรได้ออกมาแถลงตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ว่า กัมพูชามีเทปบันทึกการพูดคุยระหว่างนายกษิตกับนายคำรบ และนายคำรบกับนายศิวรักษ์ เรื่องสั่งให้หาตารางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ และว่ากัมพูชาเตรียมจะเปิดเผยเทปดังกล่าวแล้ว

แต่เมื่อแกนนำในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ออกมาดักคอว่า หากทางการกัมพูชาดักฟังโทรศัพท์จริง จะถือว่ามีความผิด เพราะลำพังมาตรา 40 ของรัฐธรรมนูญกัมพูชาก็ให้การรับประกันถึงสิทธิในความเป็นส่วนตัวของการติดต่อสื่อสารระหว่างกันและกันทั้งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรสาร และโทรศัพท์ไว้อย่างชัดเจน การดักฟังทางโทรศัพท์จึงถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวเนื่อง

ด้านรัฐบาลกัมพูชาดูเหมือนจะกลัวความผิดเรื่องดักฟังโทรศัพท์ พล.อ.เตีย บัญ รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา จึงรีบออกมาปฏิเสธ (20 พ.ย.) ว่า ทางการกัมพูชาไม่มีเทปลับเสียงนายกษิตและเลขานุการเอกตามที่นายจตุพรอ้าง พร้อมยืนยัน ทางการกัมพูชาไม่เคยมีการดักฟังโทรศัพท์สถานทูตไทยในกัมพูชา “ผมคิดว่าคนที่ออกมาพูดครั้งนี้มีเจตนาไม่หวังดี เพียงต้องการพูดให้ออกรสชาติ ความมัน และอาจจะมีนัยแอบแฝงเพื่อเชื่อมโยงไปถึงการปลุกกระแสให้เกิดสงครามของทั้ง 2 ชาติ และโยนบาปให้กัมพูชารับผิด”

ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รีบออกมาขอบคุณ พล.อ.เตีย บัญ ที่ปฏิเสธว่าไม่มีการดักฟังโทรศัพท์ว่า “ผมเชื่อ พล.อ.เตีย บัญ และขอบคุณรัฐบาลกัมพูชาที่ไม่ดักฟังโทรศัพท์หรือการสื่อสารของเจ้าหน้าที่ไทย สถานทูตไทย เพราะถ้าทำเช่นนั้น กัมพูชาก็จะเสียหาย มิตรประเทศก็จะระแวง ถือเป็นการผิดมารยาททางการทูตระหว่างประเทศ แต่เข้าใจว่าพรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง บริวาร พ.ต.ท.ทักษิณคุ้นเคยกับวิธีการดักฟังโทรศัพท์ที่ทำอยู่ในประเทศไทย”

อย่างไรก็ตาม เมื่อนายศิวรักษ์ออกมายอมรับว่าทางกัมพูชาได้ดักฟังโทรศัพท์และบันทึกการสนทนาระหว่างตนกับนายคำรบจริง รัฐบาลไทยควรทำอย่างไร ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาส่งสัญญาณ (16 ธ.ค.)ว่า กัมพูชาต้องชี้แจง ถ้ามีการดักฟังโทรศัพท์จริง “ผมว่าอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ถ้าเป็นจริง ทางกัมพูชาก็จะต้องเป็นผู้ชี้แจง เพราะมันจะกระทบกระเทือนในแง่ภาพลักษณ์ของกัมพูชาเองในสายตาประชาคมโลก”

ลองไปดูกันว่า นักวิชาการด้านกฎหมายมองประเด็นกัมพูชาดักฟังโทรศัพท์ทูตไทยกับนายศิวรักษ์อย่างไร? อ.คมสัน โพธิ์คง รองอธิการบดีและอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ชี้ว่า หากกัมพูชาดักฟังโทรศัพท์ทูตจริง ถือว่าผิดมารยาททางการทูตอย่างแรง ยิ่งถ้าเป็นโทรศัพท์ของสถานทูตด้วยแล้ว จะถือว่าก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศที่มีเอกอัครราชทูตประจำอยู่ ดังนั้นรัฐบาลไทยควรให้ฝ่ายกัมพูชาชี้แจงเรื่องนี้ พร้อมถามไปยังนานาประเทศว่า การกระทำของกัมพูชาถูกต้องเหมาะสมหรือไม่

“ผมคิดว่าในเรื่องของมารยาททางการทูต ค่อนข้างจะผิดมารยาททางการทูตสูงนะ แต่ไม่รู้ว่าเขาดักฟังโทรศัพท์ส่วนตัวหรือโทรศัพท์ของสถานทูต ถ้าเป็นโทรศัพท์ของสถานทูตและมีการดักฟังโทรศัพท์ของสถานทูต ผมคิดว่าก็เข้าไปก้าวก่ายในกิจการของประเทศที่มีเอกอัครราชทูตอยู่ ผมคิดว่าประเด็นนี้มันก็เป็นเรื่องทางการทูตที่เขาจะต้องมีการตำหนิเหมือนกัน และสถานทูตอื่นก็คงจะเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีสำหรับการปฏิบัติที่มันผิดมารยาททางการทูตค่อนข้างแรง ที่อื่นก็น่าจะถูกดักฟังโทรศัพท์ได้เช่นเดียวกัน เรื่องที่คุณจตุพรพูด สุดท้ายผมคิดว่าคงไม่มีหลักฐานอะไรที่จะออกมาแสดง เพราะถ้าเอาหลักฐานมาแสดง ทางกัมพูชาจะถูกประณามจากนานาชาติเยอะมากเลยในเรื่องนี้ เขาคงไม่ยอมให้มีการเปิดได้ แต่ผมเชื่อว่าคงมีจริง ไม่แน่ใจว่าเป็นการขุดบ่อล่อให้ทางคุณคำรบติดต่อมา”

“(ถาม-คิดว่ารัฐบาลควรจี้ให้กัมพูชาแถลงชี้แจงมั้ยว่าทำไมถึงดักฟังโทรศัพท์?) ผมว่าความจริงมันก็เป็นจุดที่รัฐบาลควรทำนะ ผมเห็นด้วยว่าควรต้องทำว่าทำไมถึงมีการดักฟังโทรศัพท์ อันนี้ต้องถามกัมพูชาแล้ว และถามไปยังนานาประเทศ และที่ประชุมต่างๆ เช่นที่ประชุมอาเซียน ที่ประชุมต่างๆ ว่า ประเด็นที่กัมพูชาทำเนี่ย โดยมารยาททางการทูตเนี่ยถูกต้องเหมาะสมหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ ผมคิดว่ามันมีอนุสัญญาที่เกี่ยวกับเอกสิทธิ์ทางการทูต ต้องไปค้นหน่อย ผมยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ละเอียดว่าเรื่องของการดักฟังโทรศัพท์ เพราะอย่าลืมนะว่า มันมีช่องทางทางการทูตโดยเฉพาะ เพียงแต่เขาออกประเภทใช่มั้ย มีถุงไปรษณีย์ทางการทูตโดยเฉพาะที่แต่ละประเทศไม่สามารถที่จะเข้าไปเอ๊กซเรย์หรือเปิดดูได้ ฉะนั้นประเด็นเรื่องของการโทรศัพท์ เรื่องข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมคิดว่าน่าจะต้องเป็นประเด็นที่มันมีอยู่ในอนุสัญญานะ”


อ.คมสัน ยังเชื่อด้วยว่า กรณีจับและปล่อยนายศิวรักษ์น่าจะเป็นการจัดฉาก เพื่อบีบให้นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต้องลาออก เมื่อถามว่า คิดว่าสังคมการเมืองไทยได้อะไรจากกรณีนายศิวรักษ์หรือไม่ อ.คมสัน บอกว่า ไม่ได้อะไรเลย เพราะเป็นแค่เรื่องความพยายามดิ้นรนของคนบางกลุ่มในทางการเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการที่จะขอพระราชทานอภัยโทษหรือสร้างความชอบธรรมในการเดินเกมทางการเมืองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ซึ่งถือว่าเป็นเกมที่สกปรก เพราะแทนที่จะวัดกันว่ารัฐบาลมีผลงานหรือไม่มีผลงาน กลับนำเหตุการณ์แบบนี้มาเล่นกัน ทั้งที่เกมแบบนี้น่าจะเลิกไปตั้งนานแล้ว

ขณะที่นักวิชาการด้านกฎหมายอีกท่านหนึ่ง(ขอสงวนนาม) พูดถึงกรณีกัมพูชาดักฟังโทรศัพท์ระหว่างนายศิวรักษ์กับนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกสถานทูตไทยในกัมพูชาว่า ปกติแล้วจะมีการคุ้มครองไม่ให้มีการดักฟังใน 2 ระดับ 1.ระดับสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ที่ต้องให้ความคุ้มครองแก่ผู้แทนทางการทูตของรัฐต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศนั้น ดังนั้น การดักฟังแม้จะเป็นเรื่องที่มีในทุกประเทศ แต่ในทางกฎหมายถือว่าไม่สามารถทำได้ และหากมีการทำจริง ก็ไม่สามารถนำมาอ้างได้ หากนำมาอ้างจะถือว่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศทันที 2.การคุ้มครองความเป็นอยู่ส่วนตัว ซึ่งเป็นการคุ้มครองภายในประเทศนั้นๆ ซึ่งก็ห้ามดักฟังโทรศัพท์เช่นกัน

นักวิชาการท่านนี้ยังมองกรณีที่ทางการกัมพูชาจับกุมนายศิวรักษ์ และในที่สุดก็พระราชทานอภัยโทษให้ว่า ส่วนตัวแล้วมองว่า การพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์ ทั้งที่กล่าวหาว่าการกระทำของนายศิวรักษ์เป็นภัยต่อความมั่นคงนั้น เท่ากับเป็นการแสดงออกว่ากัมพูชายอมรับผิดและขอโทษ เพราะรู้ว่าการเอาผิดนายศิวรักษ์ข้อหาดังกล่าวเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไปและจะส่งผลร้ายต่อกัมพูชาเองมากกว่า ซึ่งกัมพูชาคงเสียหน้าและถูกนานาชาติเตือนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชาและที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชาแล้ว ทำให้กัมพูชาถูกมองเป็นตัวตลก

นักวิชาการท่านนี้ยังวิเคราะห์ต่อด้วยว่า การจับกุมดำเนินคดีนายศิวรักษ์ ทั้งที่ข้อมูลที่นายศิวรักษ์ให้กับเจ้าหน้าที่ทูตไทยในกัมพูชาก็ไม่ใช่ความลับ เนื่องจากเครื่องบินของ พ.ต.ท.ทักษิณลงจอดในกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว และสื่อมวลชนก็เสนอข่าว พ.ต.ท.ทักษิณจนเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้ว ข้อมูลตารางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป เมื่อไม่ใช่ความลับ นายศิวรักษ์จึงไม่มีความผิด แต่เมื่อทางการกัมพูชาเอาผิดนายศิวรักษ์ ก็ทำให้กัมพูชาถูกนักการทูตทั่วไปมองว่าเป็นการฆ่าตัวตาย กัมพูชาจึงต้องหาทางออกด้วยการรีบให้มีการพระราชทานอภัยโทษในที่สุด ซึ่งส่วนตัวแล้วมองว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน ประสบความสำเร็จที่สามารถหลอก พ.ต.ท.ทักษิณ หลอก พล.อ.ชวลิต และหลอกใครต่อใครให้มาร่วมมือตีฆ้องร้องป่าวเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์เพื่อช่วยกู้หน้ากัมพูชา และสมเด็จฯ ฮุนเซน ก็ฉลาดพอที่จะบิดเบือนให้ความผิดของตนถูกลืมไป เช่น เรื่องดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไร ทางการกัมพูชาก็จะไม่ยอมรับว่าได้มีการดักฟังโทรศัพท์ทูตไทยกับนายศิวรักษ์อย่างแน่นอน!!
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ชี้ กัมพูชาต้องชี้แจง ถ้ามีการดักฟังโทรศัพท์จริง
พล.อ.เตีย บัน รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา เคยปฏิเสธก่อนหน้านี้ว่า กัมพูชาไม่ได้ดักฟังโทรศัพท์หรือมีเทปสนทนาตามที่นายจตุพรอ้าง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ขอบคุณ พล.อ.เตีย บัน ที่ยืนยันว่าไม่ได้ดักฟังโทรศัพท์
สมเด็จฯ ฮุน เซน จูงมือนายศิวรักษ์ หลังมอบหนังสือพระราชทานอภัยโทษให้  พร้อมพูดคุยกับนายศิวรักษ์โดยใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า อา และเรียกนายศิวรักษ์ว่า หลาน(14 ธ.ค.)
สมเด็จฯ ฮุน เซน กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
กำลังโหลดความคิดเห็น