xs
xsm
sm
md
lg

เล่นกันแรงบีบ “อภิสิทธิ์”ไม่ได้ เปลี่ยนเป้ากดดัน “ปทีป”ลาออก

เผยแพร่:

สัปดาห์ที่แล้วเพิ่งเตือนให้ กตช.สาย “อภิสิทธิ์” ระวังตัว เพราะวิชามารกำลังก่อร่างสร้างเค้า มาถึงวันนี้กลเกมต่าง ๆ เริ่มเห็นชัด โดยคนที่ถูกบีบจนหน้าเขียว คือ พล.ต.อ.ธวัชชัย ภัยลี้ กตช.ผู้ทรงคุณวุฒิฯ ซึ่งเพิ่งถูกกองปราบออกหมายเรียกไปให้ปากคำกรณีรถ จยย.ไทเกอร์ รุ่นทำลายล้าง

ล่าสุดถึงกับเดินเกมรุก คุกคาม ทำสงครามประสาท ข่มขู่จะจัดการให้สิ้นซาก หากไม่ยอมประกาศตนสนับสนุน “พลตำรวจเอก จ.” เป็น ผบ.ตร.

ไม่เพียงเท่านั้นยังหวังใช้ “พล.ต.อ.ธวัชชัย” เป็นหมากเดินหน้าชน เร่งรัด “อภิสิทธิ์” เรียกประชุม กตช. เพื่อผลักดันให้ “พลตำรวจเอก จ.” เป็น ผบ.ตร.คนใหม่

เป็นกลยุทธ์ที่น่าเศร้าใจสำหรับประเทศไทย เพราะผ่านเหตุการณ์มามากมาย คนกลุ่มนี้กลับไม่สำเหนียกเลยสักนิด ว่า สิ่งที่ตัวเองขับเคลื่อนโดยใช้ความซื่อสัตย์ ภักดีมาบังหน้านั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ความหวังดีประสงค์ร้าย ที่ส่งผลลบอย่างยิ่งต่อบุคคลที่ถูกอ้างถึง

นอกจากนี้ การให้ “ความต้องการ”อยู่เหนือ “ความถูกต้อง” ในการรักษาหลักการบริหารบ้านเมือง ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทยที่กำลังอยู่ในภาวะเปราะบางอย่างยิ่ง

ย้ำมาหลายครั้งแล้วว่า อำนาจในการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.เป็นของนายกรัฐมนตรี กตช.มีหน้าที่เพียงแค่พิจารณาตามรายชื่อที่นายกรัฐมนตรีคัดเลือกมา และให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้น

แต่คนพวกนี้กลับฉ้อฉลอำนาจของนายกรัฐมนตรีไปเป็นของตัวเอง ตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการพิจารณาเรื่องนี้ ด้วยการบีบให้นายกรัฐมนตรีเสนอชื่อบุคคลที่ตัวเองพอใจ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่อำนาจของตัวเอง

และยังคงพยายามใช้วิธีการเดิมๆ มาบีบคั้นกดดันให้นายกรัฐมนตรีทำตามที่ตัวเองปรารถนา

ล่าสุดใช้กองปราบฯเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม โดยไม่คำนึงถึงหลักการและความถูกต้องอีกเช่นเคย เพราะคดี จัดซื้อรถจักรยานยนต์ไทเกอร์นั้น พ้นอำนาจของกองปราบไปตั้งแต่วันที่ส่งสำนวนทั้งหมดไปยังดีเอสไอแล้ว

แถมเรื่องนี้ก็ยังขว้างงูไม่พ้นคอ เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า “สุเทพ-พล.ต.อ.จุมพล-พล.ต.อ.พัชรวาท” เป็นผู้ร่วมอนุมัติให้มีการเบิกจ่ายเงิน 16 งวดสุดท้าย วงเงินกว่า 429 ล้านบาท โดยใช้เวลาพิจารณาเพียง 17 วัน

การอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว แสดงว่าบุคคลทั้งหมดยอมรับว่าการจัดซื้อ จัดจ้างดังกล่าวไม่ได้เข้าข่ายการฉ้อโกง ซึ่งมีการอ้างถึงความเห็นของผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดด้วย แล้วมีเหตุผลอะไรที่หยิบเรื่องนี้มาทำต่อทั้งที่พ้นอำนาจของกองปราบไปแล้ว

การกระทำที่ลุแก่อำนาจเช่นนี้ทำให้สายบังคับบัญชาไร้ความหมาย เพราะการเข้าบุกค้น 4 จุด ของ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ รรก.รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง โดยการออกคำสั่งของ พล.ต.อ.จุมพล ไม่ผ่าน พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา โดยตรง รวมถึงการใช้กองปราบทำเรื่องนี้ทั้งที่ไม่มีอำนาจไปแล้ว ก็ทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละฝ่าย

ดีเอสไอ จะทำอย่างไรถ้าอยู่ ๆ คดีในความรับผิดชอบของตัวเองที่ส่งไปให้ ปปช.แล้ว ถูกกองปราบเข้าไปรื้อใหม่ ถ้าแต่ละหน่วยงานไม่เคารพการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละฝ่าย โดยคิดแต่จะทำตามใจกูเพียงอย่างเดียว จะเหลืออะไรให้เป็นที่หวังของประชาชน

น่าเสียดายที่ต่อมสำนึกของคนเหล่านี้อยู่ลึกเกินกว่าจะผุดขึ้นมาเตือนสติ จึงยังมีความพยายามใช้ทุกวิถีทางข่มขู่ กวาดล้างคนใกล้ชิด “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” เพื่อให้ถอดใจลาออกจาก รักษาการ ผบ.ตร. และให้ประกาศไม่ขอชิงเก้าอี้เข้ากุมบังเหียน สตช.อีก ระบุเหตุผลให้เสร็จสรรพว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพ

อย่างไรก็ตาม “พล.ต.อ.ปทีป” ซึ่งถูกปรามาสว่าเป็นแค่ ตาแป๊ะเฝ้าศาลเจ้า มีความเด็ดเดี่ยวมากพอที่จะร่วมต่อสู้ในศึกครั้งนี้แบบถวายหัว เพราะรู้ดีว่า นอกจาก “อภิสิทธิ์” แล้ว ยังมีผู้หลัก ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอีกไม่น้อยที่คอยให้การสนับสนุน

คนที่น่าเป็นห่วงคือ “สุภา ปิยะจิตติ” กตช.หมาด ๆ ที่เพิ่งได้รับเลือกไป ไม่รู้ว่าจะถูกข่มขู่ คุกคามอย่างไรบ้าง

ได้แต่หวังว่า หญิงเหล็กไร้แผลอย่าง “สุภา” น่าจะแกร่งพอในการยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้องต่อไป

ความจริงปัญหานี้คงไม่เกิดขึ้น หากทุกคนจะน้อมนำเอาพระราชดำรัสขององค์พ่อหลวงเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม มาปฏิบัติ

“ขอให้ทุกคนทุกฝ่ายในชาติมุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลังด้วยสติ รู้ตัว ด้วยปัญญา รู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น”

หยุดเอาความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่ แล้วหันมาร่วมกันทำให้บ้านเมืองมั่นคงเป็นปกติสุข

เพื่อให้ดวงใจของคนไทยทั้งชาติทรงมีความสุข หลังจากที่พระองค์ทรงงานหนักเพื่อบ้านเมืองมานานเหลือเกินแล้ว

กำลังโหลดความคิดเห็น