“ภาณุพงศ์” ยันสอบคดีฮั้ว จยย.สายตรวจคืบหน้า แต่ล้าช้าเพราะพยานพากันเลื่อนเข้าให้การ ด้านดีเอสไอระบุคดีเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ สงสัยทำไมกองปราบฯ เดินหน้าสอบทั้งที่ไม่มีอำนาจ
วันนี้ (1 ธ.ค.) เมื่อเวลา 17.00 น.ที่กองปราบปราม พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รักษาการ ที่ปรึกษา สบ10 ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีทุจริตโครงการจัดซื้อ จยย.ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ รักษาการ รอง ผบช.ก. พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาการ ผบก.ป. ร่วมประชุม เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี โดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง
ภายหลัง พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ กล่าวว่า คดีมีความคืบหน้าไปมากแล้ว แต่ก็ต้องอาศัยเวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากมีพยานหลายปากที่ต้องเรียกมาสอบปากคำ ร่วมทั้งยังต้องหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม หากพร้อมเมื่อใดก็จะพิจารณาออกหมายเรียกผู้ต้องหามาดำเนินคดีต่อไป ส่วนกรณีที่นายบัณฑูร สุภัควณิช อดีต ผอ.สำนักงบประมาณ ที่เคยถูกออกหมายเรียกในฐานะพยานจะขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำนั้นก็เป็นสิทธิที่จะขอเลื่อนนัดหมายได้ ซึ่งตามที่ได้รับรายงานมาทราบว่านายบัณฑูร ขอเลื่อนการเข้าพบอีก 3-4 วัน ในกรณีนี้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร.ได้กำชับมาแล้ว หากมีเหตุผลที่รับฟังได้ก็ต้องเลื่อนการสอบปากคำออกไป ส่วนนายตำรวจหรือบุคคลใดที่เกี่ยวข้องทางพนักงานสอบสวนก็จะเชิญมาสอบปากคำทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า คดีนี้จะต้องส่งสำนวนการสอบสวนให้กับ ป.ป.ช.ทั้งหมดหรือไม่ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องพิจารณากันอีกครั้งว่าส่วนไหนที่เราจะดำเนินการเอง หรือให้ทาง ป.ป.ช. ซึ่งหากต้องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการก็ต้องประชุมคณะทำงานเสียก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ในวันเดียวกันนี้ ทางพนักงานสอบสวนได้เชิญตัวนายปิติ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการของบริษัท ไทเกอร์ มอเตอร์ จำกัด มาพบเพื่อร่วมกันเปิดกล่องเอกสารที่ตรวจยึดมาได้จากบริษัท มิลเลเนี่ยม มอเตอร์ จำกัด อ.เมือง จ.สมุทรปราการ แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลานัดหมายนายปิติได้โทรศัพท์ติดต่อมายังพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งขอเลื่อนนัดออกไปอย่างไม่มีกำหนดโดยอ้างว่าป่วย และจะแจ้งนัดหมายวันเวลาที่พร้อมจะเข้าพบพนักงานสอบสวนอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากพนักงานสอบสวนเข้าตรวจค้น และส่งหมายเรียกพยานที่เกี่ยวข้องไปเมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมานั้นเป็นที่น่าสังเกตว่าจนถึงขณะนี้พยานทุกคนที่ถูกเชิญตัวให้มาสอบปากคำนั้นต่างแจ้งเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนออกไป แม้จะเป็นการเชิญตัวเพื่อมาเป็นพยานในการเปิดกล่องเอกสารที่ยึดมาก็ยังมีการขอเลื่อนออกไปเช่นกัน ซึ่งในส่วนนี้มีรายงานว่า พนักงานสอบสวนจะประสานเชิญตัวพยานที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันเปิดกล่องตรวจสอบเอกสารอีกสัก 2 ครั้ง หากยังไม่มาพบพนักงานสอบสวนอีกก็จำเป็นต้องเรียกตำรวจท้องที่มาเป็นพยานคนกลางในการเปิดกล่องเอกสารทั้งหมดเพื่อให้กระบวนการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเดินหน้าต่อไปได้
ส่วนพยาน 2 คน คือ นายบัณฑูร สุภัควณิช อดีต ผอ.สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และนางปราณี ศุกระศร รักษาการ ผอ.ขสมก.ที่พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกให้มาพบในวันที่ 2 ธันวาคมนั้น ได้รับการประสานจากนายบัณฑูร ซึ่งมอบหมายให้ทนายความยื่นหนังสือขอเลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนเป็นวันที่ 18 ธันวาคมนี้ เวลา 10.00 น.โดยอ้างว่าติดภารกิจสำคัญ ส่วนนางปราณี ได้แจ้งขอเลื่อนนัดออกไปยังไม่มีกำหนดอ้างเหตุการเรียกเข้าพบเป็นเวลาที่กระชั้นชิด
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้ทำหนังสือสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลังเพื่อขอทราบสถานะของข้าราชการในสังกัด จำนวน 4 คนว่าขณะนี้ยังรับราชการอยู่ที่สำนักงบประมาณหรือไม่และอยู่ในตำแหน่งใด
ทั้งนี้ แหล่งข่าวภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงการสอบสวนคดีฮั้วประมูลโครงการจัดซื้อรถจักรยานยนต์สายตรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่ากรณีนี่ถือเป็นอำนาจสอบสวนของดีเอสไอได้ เพราะตามพฤติการณ์คดีดังกล่าวเข้าเกณฑ์ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือฮั้วประมูล เป็นความผิดแนบท้ายตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ โดยตามอำนาจดีเอสไอสามารถสอบสวนคดีทุจริตฮั้วประมูล มูลค่าความเสียหายตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไปได้เลย ซึ่งจะถือเป็นคดีพิเศษโดยอัตโนมัติ และไม่ต้องขออนุมัติสอบสวนจากคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
แหล่งข่าวคนเดิม ระบุว่าเป็นที่น่าสงสัยว่าเหตุใดกองบังคับการกองปราบปรามจึงเดินหน้าสอบสวนและเข้าตรวจค้นสถานที่ต่างๆ ทั้งที่ไม่มีอำนาจสอบสวนตามกฎหมาย หากฝ่ายผู้ต้องสงสัยทราบข้อกฎหมายคงจะต่อสู้ทำลายน้ำหนักในคดีได้ว่าเป็นการสอบสวนโดยมิชอบ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากองปราบฯ คงทราบดีว่าไม่มีอำนาจสอบสวน แต่อาจจะเลี่ยงว่าการทำงานที่ผ่านมาเป็นเพียงการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นไม่ใช่การสอบสวน เชื่อว่าหลังจากนี้กองปราบฯจะเร่งส่งสำนวนคดีให้ดีเอสไอดำเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว เพราะดีเอสไอเป็นหน่วยงานที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงน่าจะสอบสวนเรื่องภายในของตำรวจได้อย่างตรงไปตรงมา