“พงศพัศ” พร้อมเปิดปากให้ข้อมูลกองปราบฯ คดีฮั้วซื้อ จยย.

“พงศพัศ” พร้อมให้ความร่วมมือเข้าให้ปากคำคดีทุจริตซื้อ จยย.สายตรวจ หากได้รับการติดต่อจากพนักงานสอบสวน ยันคดีนี้ต้องทำความกระจ่าง ไม่ปล่อยให้อึมครึม ชี้ เป็นกระบวนการปกติที่ต้องเรียกตำรวจไปให้ข้อมูล

วันนี้ (2 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะโฆษก ตร.กล่าวถึงคดีการทุจริตในการจัดซื้อรถจักรยานยนต์ขนาด 200 ซีซี ยี่ห้อไทเกอร์ของ ตร.ในวงเงินงบประมาณ 1.2 พันล้านบาท กรณีพนักงานสอบสวนจะเรียกตำรวจที่เกี่ยวข้องไปให้ปากคำ ว่า เรื่องนี้โดยภาพรวมพนักงานสอบสวนตำรวจกองปราบ ที่ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา เป็นประธาน ตามที่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร.ดำเนินการมาระยะหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน คิดว่า เป็นกระบวนการธรรมดาที่เรียกตำรวจไปให้ปากคำให้ข้อมูล เพื่อให้เกิดความกระจ่าง โปร่งใส ไม่ให้มีข้อติดใจกับใคร ซึ่งเป็นเรื่องการตรวจสอบตามปกติของทุกหน่วยอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า พล.ต.ท.พงศพัศ ได้รับการติดต่อจากพนักงานสอบสวนหรือไม่ เนื่องจากเกี่ยวข้องในขั้นตอนการเสนอเบิกจ่ายเงินในช่วงที่ พล.ต.อ.ปทีป มา รรท.ผบ.ตร.ครั้งแรก พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย ตอนนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อ แต่ถ้าติดต่อมาก็พร้อมจะไป เพราะเราต้องทำความกระจ่าง ปล่อยให้อึมครึมเช่นนี้ไม่ได้

ส่วนกรณีที่ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ รักษาราชการแทนรอง ผบช.ก.ระบุว่า มีองค์กรอาชญากรรมเข้ามาเกี่ยวข้องในการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้ โฆษก ตร.กล่าวว่า ความจริงต้องเชิญ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ มาคุยกันเพื่อจะได้ทราบที่มาที่ไป ถ้ามันเกี่ยวเนื่องกับองค์กรตำรวจก็ต้องจำเป็นต้องทำให้มันกระจ่าง ซึ่งคงเชื่อมโยงอะไรหลายอย่างจะมาพูดด้วยคำพูดสั้นๆ คงไม่ได้ จะเข้าใจผิดกันไปยกใหญ่ แต่ว่ามีคณะพนักงานสอบสวนขึ้นมาแล้วต้องให้เกียรติในการสืบสวนจากพยานหลักฐาน จะเชิญใครไปสอบสวนเรายินดี

เมื่อถามว่า ในฐานะเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.ฝ่ายบริหาร เคยระแคะระคายเรื่ององค์กรอาชญากรรมในตร.หรือไม่ พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวว่า ไม่เคยได้ยิน

“เรื่องนี้ถึงระยะหนึ่ง ตร.จะชี้แจง แต่ รรท.ผบ.ตร.ต้องการให้พนักงานสอบสวนได้ทำงานโดยอิสระ ถ้าจะทำอะไรไป ก็จะเข้าข่ายแทรกแซง เข้าไปสั่งการรรท.ผบ.ตร. และตำรวจทุกคนจึงระมัดระวังมาก อยากให้อิสระการทำงานของทุกฝ่ายตามกระบวนการอย่างเต็มที่ และคิดเรื่องนี้แบบสมานฉันท์ไม่คิดว่าต้องการหวังผลทางการเมืองใดๆ ทั้งนั้น และคดีนี้ไม่ได้ชี้ว่าองค์กรตำรวจกำลังแตกแยก และตอนนี้ตำรวจก็สามัคคีกันมากขึ้นด้วย” โฆษก ตร. กล่าว