คำสอนใจของคนไทยที่ว่า “ อย่าทำตัวเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย” มีคำอธิบายว่า “ จะให้ข้าหรือบ่าวที่มีนายสองคน ซื่อสัตย์และจงรักภักดี ต่อนายทั้งสองคน ย่อมไม่ได้เพราะถ้าซื่อสัตย์กับนายคนหนึ่งก็อาจจะต้องทรยศกับนายอีกคนหนึ่ง ดังนั้นสุภาษิตนี้ จึงสอนให้มีนายเพียงคนเดียว และจงรักภักดีต่อนายคนเดียวนั้น”
(จากหนังสือ “สุภาษิตอังกฤษ- คำสอนใจของไทย ที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน” โดย รัชนี ซอโสตถิกุล หน้า 331 )
การที่นาย ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่งตั้ง นช. ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา สามารถทำได้ด้วยเลย ไม่จำเป็นต้องแอบอิงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของกัมพูชา
เหตุที่ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน แห่งกัมพูชา ทรงลงพระปรมาภิไธย และให้หนังสือพิมพ์ไทยในสังกัดเสื้อแดง แปลเผยแพร่ให้คนไทยได้รับรู้ คงไม่ใช่เห็นเป็นเรื่องโก้เก๋ สร้างราคาให้ นช. ทักษิณ แต่เป็นการประกาศเจตนาว่า บัดนี้ นช. ทักษิณ ได้เข้าสวามิภักดิ์ เป็นข้ารับใช้ราชวงศ์นโรดมแล้ว
เป็นคนดีที่เมืองไทยไม่ต้องการ ทิ้งแผ่นดินไปอยู่กับคนที่เขาเห็นคุณค่าดีกว่า
ทางการไทยจะถอดยศ เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ก็ไม่มีความหมายแล้ว เพราะด้วยความรู้ ความสามารถของ นช. ทักษิณ อีกไม่นาน ก็คงจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ทักษิณ เป็นแน่
อยากได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นไหนของกัมพูชา บอกมา ฮุนเซนจัดให้
นับเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงอีกครั้งหนึ่งขอ งนช. ทักษิณ ในช่วงเวลาเพียงสองสัปดาห์ ที่ใช้ ฮุน เซน เป็นหมากเพื่อดิสเครดิต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และประเทศไทย แต่ผลที่เกิดขึ้น กลับเป็นการเปิดเผยตัวตนว่า เป็นไปอย่างที่ถูกกล่าวหาว่า พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง แม้กระทั่ง ทำร้ายแผ่นดินแม่ก็เอาจริงๆ
กระทั่ง หนังสือพิมพ์ในสังกัดเสื้อแดง ยังรับไม่ได้ ต้องออกมาเตือนให้ถอนตัวจากการเป็นที่ปรึกษาเสีย
ในใจนายอภิสิทธิ์ จะนึกขอบคุณ นช. ทักษิณ และ ฮุนเซนหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่เกมของนช. ทักษิณ และฮุนเซน ได้สร้างเงื่อนไขให้ นายอภิสิทธิ์ เรียกคะแนนนิยมได้อย่างสบายๆ ในภาวะที่กำลังถูกรุมเร้าด้วยสงครามข้อมูล ข่าวสารในประเทศ
การตอบโต้อย่างทันควัน ด้วยมาตรการที่เฉียบขาด เรียกทูตกลับประเทศทันที ด้วยคำอธิบายที่ได้ใจคนไทยทั้งประเทศว่า “ เพื่อสะท้อนความรู้สึกของคนไทย” นั้น ทำให้ภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์สูงเด่นขึ้นมาทันที
นายอภิสิทธิ์ ยังแสดงออกให้รู้ว่า ประเทศไทยนั้น มีศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ที่ทัดเทียมกับอารยะประเทศ ไม่ได้เป็นลูกไล่เขมร ต้องเกรงใจฮุนเซน เหมือนที่สื่อมวลชนไทยพยายามจะวาดภาพฮุนเซน ว่าเป็นผู้มีบารมีในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ด้วยการ ไม่ให้ความสนใจที่จะพูดคุยในระดับทวิภาคีกับฮุนเซน ที่ญี่ปุ่น
" ผมคิดว่ารัฐบาลและคนไทยได้แสดงออกบนความอดทน อดกลั้นพอสมควร เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขในระดับทวิภาคี ทั้ง 2 ประเทศ ต้องแก้ปัญหากัน แต่ปัญหาไม่ได้เกิดจากรัฐบาลไทย ดังนั้นจึงอยู่ที่กัมพูชา จะต้องไปพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ต้องให้เวลากัมพูชาระยะหนึ่ง เพราะเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น"
รัฐบาลไทยยังฉวยเอาโอกาสนี้ เปิดเกมรุก ล้มกระดาน ทบทวนเอ็มโอยู ว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนในไหล่ทวีป ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชา ต่างอ้างสิทธิ และมีการทำเอ็มโอยู เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ที่กรุงพนมเปญ หลังจากนช. ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น
เอ็มโอยู ฉบับนี้ ลงนามโดยนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศของไทยในขณะนั้น กับนายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายตกลงจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย–กัมพูชา และมีการประชุมครั้งแรกในเดือนธ.ค. ปีเดียวกัน แบ่งพื้นที่การเจรจาออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรก พื้นที่ทับซ้อนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือขึ้นไป ซึ่งไม่มีข้อขัดแย้งกันให้แบ่งเขตทางทะเลอย่างชัดเจนตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ส่วนที่สอง พื้นที่ทับซ้อนใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือลงมา ให้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วมกัน รัฐบาลทักษิณ มุ่งมั่นจะเจรจาปักปันเขตแดนในทะเล และตกลงแบ่งปันผลประโยชน์จากการให้สัมปทานขุดเจาะแก๊สและน้ำมันให้เร็วที่สุด แต่การเดินทางไปเยือนกัมพูชาของพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 10 ส.ค.49 เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว กลับสะดุดลง เนื่องจากการเจรจาจัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัว เพราะข้อเสนอสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้
กล่าวคือ พื้นที่ส่วนที่อยู่ตรงกลาง ทั้งสองตกลงกันได้ในเบื้องต้น โดยแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้จากการขุดเจาะแก๊สและน้ำมัน ในสัดส่วน 50-50 แต่พื้นที่ทางด้านซ้ายและด้านขวาของพื้นที่ทับซ้อนนั้น ฝ่ายกัมพูชาเสนอให้แบ่งผลประโยชน์ในสัดส่วน 90-10 แต่ฝ่ายไทยเห็นควรแบ่งในสัดส่วน 60-40 และการเจรจาสะดุดหยุดลง เมื่อรัฐบาลทักษิณ ถูกรัฐประหารเมื่อเดือนก.ย. 49 จนถึงบัดนี้การเจรจาตกลงแบ่งปันผลประโยชน์บนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
พื้นที่เขตทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา มีประมาณ 27,960 ตารางกิโลเมตร มีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญคือ ก๊าซฯ และน้ำมัน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก ประมาณการว่ามีปริมาณน้ำมันสำรองมากถึง 2,000 ล้านบาร์เรล และมีปริมาณก๊าซฯ สำรองอีกมากกว่า 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต มูลค่ามากกว่า 5 ล้านล้านบาท ที่ผ่านมารัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลไทย ต่างให้สัมปทานแก่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของโลกหลายราย เช่น เชฟรอน, โททาล, ยูโนแคล, บริติช แก๊ส, มิตซุย, กลุ่มปตท. เป็นต้น แต่การสำรวจขุดเจาะยังไม่สามารถดำเนินการได้จนกว่ารัฐบาลทั้งสองชาติจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันเสียก่อน
การยกเลิกเอ็มโอยูเขตทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ของรัฐบาลไทย ย่อมส่งผลต่อการให้สัมปทานน้ำมันและก๊าซฯ ดังกล่าว แต่ผลกระทบที่สำคัญคือ ทำให้ผลประโยชน์มหาศาลที่ ฮุนเซน-ทักษิณ วาดหวังไว้จบสิ้นลงไปด้วย
การเจรจาผลประโยชน์เขตทับซ้อนฯ ยังเชื่อมโยงไปถึงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันระหว่างทักษิณและฮุนเซน กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกของกัมพูชา เพราะทักษิณ วางแผนเข้าพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณด้านใต้ห่างจากหน้าผาที่ตั้งปราสาทพระวิหารประมาณ 300 เมตร ขนาดพื้นที่ 20,000 เฮกตาร์ ในรูปแบบเอ็นเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
นอกจากนั้นรัฐบาลฮุนเซนยังให้สัมปทานเช่าเกาะกงในระยะยาวเป็นเวลา 99 ปี แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ โดยใช้เม็ดเงินลงทุนกว่า 40,000 ล้านบาท ลงทุนในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ ทั้งท่าเรือน้ำลึก กาสิโน สนามบินฯลฯ
การยกเลิกเอ็มโอยูฉบับนี้ จึงเป็นการทุบหม้อข้าวของ ทักษิณ และฮุนเซ็นโดยแท้
ในความสัมพันธ์ปกติ การฉีกบันทึกข้อตกลงทิ้ง เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะจะเป็นการบิดพลิ้ว ผิดสัญญา แต่ในภาวะที่ไม่ปกติ การทบทวนข้อตกลงใดๆ ถือว่า เป็นมาตรการตอบโต้ ที่ประเทศไทยมีสิทธิที่จะทำได้
เหตุผลในการทบทวนเอ็มโอยู ที่นายอภิสิทธ์ใช้เป็นข้ออ้าง เป็นเหตุผลสุดคลาสสิคที่คนไทยร้องอ๋อ เข้าใจได้ทันที คือ นช.ทักษิณ มีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องนี้ เพราะเคยเป็นข้าของแผ่นดินไทย แต่บัดนี้ ย้ายไปเป็นบ่าวเขมรแล้ว ดังที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯ อภิสิทธิ์ เมื่อวานนี้ว่า
“ เช่นข้อตกลงใดๆก็ตามในปัจจุบันก็เกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากว่าคนเคยอยู่ฝ่ายไทย ปัจจุบันไปอยู่ฝ่ายกัมพูชาแล้ว ซึ่งมีบางเรื่องที่เป็นกรอบการเจรจา ที่เริ่มต้นในสมัยที่อดีตนายกฯเป็นนายกฯของไทย เพราะฉะนั้นก็จะทราบในเรื่องของจุดยืน ที่มาข้อมูลของไทย แต่ปัจจุบันกับกลายเป็นที่ปรึกษาของฝ่ายกัมพูชาเสียแล้ว เพราะฉะนั้นจำเป็นที่จะต้อทบทวนครับ”
เกมที่ นช.ทักษิณ –ฮุนเซ็น ตั้งใจเพียงแค่จะสร้างข่าวให้ประเทศไทยเสียหน้า กลับถูกรัฐบาลไทยใช้เป็นเงื่อนไขรุกฆาตล้มโต๊ะเจรจาในเรื่องผลประโยชน์ที่ตกลงกันไม่ได้
คนที่คิดเกมนี้ให้นช. ทักษิณ สมควรโดนตบกะโหลกแรงๆ สามที แล้วไล่ให้ไปอยู่เขมรจริงๆ