xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ”หนุนสร้างรถไฟรางคู่-แย้มนโยบายพรรคฯ ทวงคืน ปตท.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสนธิ ลิ้มทองกุล
“สนธิ” อัด “มาร์ค” 9 เดือนทำสังคมเน่าเฟะ แก้ไม่ตกคอร์รัปชัน ชี้ไอ้โม่งทำ ธ.กรุงเทพฯพาณิชย์การ ล่มสลายลอยนวลอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เศร้าเด็กไทยเมิน ปัญหาคอร์รัปชัน ชนวนทำให้ลูกหลานต้องรับภาระหนักอื้อ แนะสร้างรถไฟรางคู่ ประเทศพัฒนากว่าโครงการมอเตอร์เวย์ สู่อีสาน แย้มนโยบาย “พรรคการเมืองใหม่” ทวงคืน ปตท.ให้กลับเป็นสมบัติของชาติอีกครั้ง





คลิกที่นี่ เพื่อฟังนายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวทวงคืนปตท.

วันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) เดินทางมาร่วมแสดงปาฐกถาในงานสัมมนาและประชุมใหญ่ประจำปี 2552 ของชมรมโฉลกดอทคอม ที่มีสมาชิกเป็นคนในวงการการลงทุนด้านตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ ที่จัดขึ้นที่โรงแรมจอมเทียนปาล์มบีช พัทยา จ.ชลบุรี เพื่อเป็นการพบปะและร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวถึงผลโพลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 จนถึงปัจจุบัน ว่า คะแนนนิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บวกกันแล้วไม่ถึง 50% ซึ่งก็เท่ากับว่าไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั้งคู่ ทั้งนี้ ที่น่าสนใจ อีก 53% ไม่ตอบคำถามว่าชอบ นายอภิสิทธิ์ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ โดยเปอร์เซ็นต์เหล่านี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ก็อยู่ที่ 54% ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนมีคะแนนนิยม บวกกันได้กว่า 60% ตรงนี้แสดงว่าสังคมต้องการอะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช่ นายอภิสิทธ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้หากย้อนดูสังคมเมื่อปี 2475 เป็นยุคที่สังคมเริ่มมีประชาธิปไตย เป็นจุดกำเนิดก่อให้เกิดพรรคการเมือง แม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีการยึดอำนาจบ้าง สลับกันไปมา กับการเลือกตั้ง แต่ต่างก็มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวคือ นำไปสู่อุดมการณ์ที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งคำว่า อุดมการณ์นี้ ปัจจุบันข้าราชการ ตำรวจ ทหาร สะกดไม่เป็นและไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร

นายสนธิ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ เกิดขึ้นมา ด้วยเหตุผลเดียว คือ เป็นเครื่องมือของฝ่ายอำมาตย์ เพื่อมารองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ฉะนั้นรากเหง้าของพรรคประชาธิปัตย์ ก็มาจากการรวมตัวของอำมาตย์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ แต่ที่น่าสนใจคือ อำมาตย์ หล่านี้ เริ่มรับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้แล้ว เพราะทำงานไม่เป็น อย่างไรก็ตามหากกลับมาดู พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งก็ไม่ต่างกันเป็นอำมาตย์เหมือนกัน แต่เป็นอำมาตย์ ยุคใหม่ การเมืองของไทย ก็เลยเป็นแบบ สมบัติผลัดกันชม

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่คนบอกว่า เป็นยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งตนยังไม่เห็นว่าครี่งใบตรงไหน และยังไม่เห็นตรรกะ ว่า ทำไม นายกรัฐมนตรี จะต้องมาจากการเลือกตั้ง ทำไมเราไม่มีสิทธิเชิญคนที่มีความสมารถ มาเป็นนายกฯรัฐมนตรี และการที่คนมักพูดว่า หากไม่มีการเลือกตั้ง จะไม่ได้รับความชอบธรรม แต่ไม่เคยถามถึงที่มาที่ไป ว่า กว่าจะได้เสียงมา ใช้เงินซื้อไปเท่าไร อย่างไรก็ตาม พอสิ้งยุค พล.อ.เปรม ต่อมาก็เป็นยุค ชาติชาย โดยมีที่ปรึกษา ชื่อ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นจุดเริ่มต้นแนวคิดเปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นสนามการค้า นายพันศักดิ์ มีส่วนสำคัญมากในการตั้ง ผู้ว่าการแบงก์ชาติ และผู้ว่าการแบงก์ชาติคนนี้ ก็มีส่วนสำคัญมาก ในหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่การล่มสลายของธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ ต่อเนื่องความเฮงซวย มาจนกระทั่งถึงตลาดหลักทรัพย์ในทุกวันนี้ คนๆ นั้น คือนายวิจิตร สุพินิจ เวลาจะแก้ปัญหาต้องแก้ให้ถึงแก่น คำถามมีอยู่ว่า ใครเป็นคนสั่งเพิ่มทุนธนาคารกรุงเทพพาณิชการ ทั้งๆที่ผลประกอบการ สำรวจมาแล้วว่า ดำเนินกิจการต่อไม่ได้ ซึ่งตามกติกา ต้องลดทุน แต่นายวิจิตร กลับสั่งเพิ่มทุน แล้วไปร่วมมือกับประธานธนาคารออมสิน เอาเงินในออมสินไปลงทุนเพิ่ม ที่สำคัญปัจจุบันทั้งสองคนนี้ มีอำนาจอยู่ในตลาดหลักทรัพย์

“ในสมัย เติ้ง เสี่ยวผิง ที่ก่อนเสียชีวิต ท่านได้กำหนดให้ หู จิ่นเทา เป็นผู้นำคนต่อไปไว้ล่วงหน้า เพราะเขามองการไกลว่า เมื่อเปิดประเทศรับอุตสาหกรรมแล้ว คนต่างชาติจะหลั่งไหลเข้ามาลงทุนจำนวนมาก ทำให้คนรวยจะยิ่งร่ำรวย แต่คนจนจะลำบากมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องเอาผู้นำที่มีรากฐานการเติบโตมาจากคนจน กรณีอย่างนี้ในเมืองไทยเราไม่มี เพราะเราไปหลงในมายาคติ ของคำว่าประชาธิปไตย ต้องมาจาการเลือกตั้ง คุณพ่อ นายสุชาติ เชาว์วิศิษฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง เป็นคนแรกที่เอาของไปแจก เวลาลงหาเสียง โดยเริ่มจากการแจกปลาทู ไปเป็นนำปลา และข้าวสาร ต่อไปก็แจกเป็นเงินจาก 100 เป็น 200 และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นการเมืองของประเทศไทย จึงไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง”นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ นายอภิสิทธิ์ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ตนยังไม่เห็นทำอะไร ที่จะป้องกันไม่ให้มีการซื้อเสียงเลย เช่น กรณี พล.อ.ชาติชาย เปิดประตูประเทศเข้าสู่ยุคโทรศัพท์มือถือ จนเป็นยุคของการสร้างคนรวยขึ้นมาใหม่ คือ กลุ่มอำมาตย์ใหม่ คนพวกนี้ขายอากาศ ไม่ได้เอาเงินมาสร้างโรงงาน แต่เอาเงินมาซื้อสัมปทาน เทคโนโลยีสมัยใหม่ จนร่ำรวยมหาศาลอย่างรวดเร็ว โดยคนเหล่านี้เมื่อรวยแล้ว จะเน้นลงทุนที่มีผลในอนาคต เช่นซื้อโรงพยาบาล แล้วจากนั้นก็ไปออกบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อไล่ให้ไปเข้าโรงพยาบาลเอกชน แล้วเก็บค่าใช้จ่ายในอัตราสูง ตรงนี้คือการวางหมากไว้ล่วงหน้า ใช้การคอรัปชั่นเชิงนโยบาย

“โชคร้ายของสังคม ที่พรรคประชาธิปัตย์ บริหารชาติ ต่อจากยุค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จากการบริหารของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนั้น ทำให้เกิดการล่มสลายทางเศรษฐกิจเมือปี 2540 แต่โชคยังดีที่การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง อย่างไรก็ตามในอนาคต ที่ใกล้จะมาถึงนี้ หากเรายังไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะถึงวันล่มสลายในที่สุด เพราะวันนี้ประเทศเรา มีแต่คนจนที่เป็นหนี้” นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวว่า ตนมีความปรารถนาให้คนจน ที่ไม่ค่อยมีความมั่นคง ได้มั่นคง ทำมาหากินเป็น แต่ไม่เห็นด้วยกับการเอาเงินไปให้คนจนกู้ เพราะจะยิ่งทำให้คนจนยิ่งจนเข้าไปอีก เมื่อปี 2543 หนี้ต่อครัวเรือนอยู่ที่ 60,000ต้นๆ ทุกวันนี้ 143,000 บาท สำหรับผู้ที่เล่นหุ้นอาจจะไม่เดือดร้อน แต่จะลงทุนอะไร ในเมื่อ สังคมมันล่มสลาย ซึ่งก้คงหนีไม่พ้นเครือ ปตท. เพราะไม่มีทางเลือก สังคมไม่ได้สร้างทางเลือก ไม่ได้สร้างแนวทางที่จะขยายธุรกิจ ให้เติบโตไปยังต่างประเทศ แล้วผลักดันให้ธุรกิจเหล่านี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ ตอนนี้ดูๆไปแล้วที่สังคมสนับสนุนมีแค่ ซีพี ปูนซิเมนต์ไทย แบงก์กรุงเทพ และ ปตท.เท่านั้น

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเปรียบเสมือนสุนัขขี้เรื้อนตัวหนึ่ง แตะตรงไหนเจอแผลตรงนั้น สังคมไทยจะเดินหน้าได้ต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี ชาติจะเดินต่อไปไม่ได้หากคุณภาพของคนไม่เท่าเที่ยมกัน 9 ปีที่ผ่านมา เรามีงบลงทุนแต่ละปีประมาณ 3 แสนล้านบาท ตรงนี้จะมีใครรู้บ้างว่าในงบลงทุน 2.7 แสนล้าน 30% เป็นค่าคอร์รัปชัน แล้วเรากู้เพิ่มเพิ่มมาให้คนพวกนั้นคอร์รัปชันต่อ ที่น่าเศร้าใจมากไปกว่านั้น เอแบคโพลล์ ทำโพลออกมาว่า โกงได้ไม่ว่า แต่ขอให้เศรษฐกิจดีขึ้น ตรงนี้อยากให้วิเคราะห์ใด้ดีสักนิด อย่าง รถไฟฟ้าสีม่วง มูลค่าการประมูล 2.7 หมื่นล้าน นายโสภณ ซารัมย์ ไปขงบบเพิ่มอีก 8 พันล้าน เป็น 3.5 หมื่นล้าน เงิน 8 พันล้านคือส่วนต่าง ที่ ช.การช่าง ต้องจ่ายให้นักการเมือง ตรงนี้นักการเมืองได้ผลประโยชน์เต็มๆ แต่จะทำให้ลูกหลานต้องแบกรับ ด้วยการเสียค่าบริการที่แพงขึ้น ฉะนั้นอย่าคิดว่าการคอร์รัปชัน ไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ

“ระบบการเมืองเก่าๆ ยังยึดติดอยู่กับผลประโยชน์ ตนได้เสนอเนวคิด ให้ทำรถไฟรางคู่ขึ้นมาทั่วประเทศไทย โดยหาเงินจัดทำแผนพัฒนาบนที่ดินบริเวณมักกะสัน จากหัวลำโพง 30 ปี ตรงนีจะได้เงินมาไม่ต่ำว่าแสนล้าน สามารถทำรางคู่ได้ ซึ่งข้อดีของการทำรถไฟรางคู่ จะทำให้ประเทศพัฒนา หากรถไฟวิ่งได้ 140 กม.:ชม.ทำให้การขนถ่ายคนจากกรุงเทพฯออกต่างจังหวัด เป็นไปด้วยความรวดเร็ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องมีบ้านอยู่ในกรุ่งเทพฯ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดของการจราจรบนท้องถนน และสินค้าที่ส่งมาจากต่างจังหวัดก็ไม่เน่า ราคาผลผลิตก็สูงขึ้น ทั้งนี้ที่รัฐบาลไม่ทำ ก็เพราะติดที่ ยังหาบริษัทที่จะมาลงทุนแล้วจ่ายเงินเต็มที่ไม่ได้ และติดที่อิทธิพลสมาคมรถบรรทุก ส่วนเงินไทยเข้มแข็ง 8แสนกว่าล้าน จัดสรรงบประมาณโครงการณ์ มอเตอร์เวย์ 5 เส้นทางไปโคราช กว่า 5 หมื่นล้านบาท แต่จัดเงินให้การรถไฟแค่ 1.2 พันล้าน ตรงนี้สะท้อนให้เห็นชัดว่ารัฐบาลทำงานไม่เป็น” นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวว่า ปัญหาของประเทศ ต้องเริ่มด้วยการเสียสละ อย่าคิดเข้ามาเล่นการเมือง โดยการใช้เงินซื้อเพื่อให้ได้อำนาจ แล้วใช้อำนาจนั้นแสวงหาเงิน เพื่อเอาไปเป็นทุนซื้อเสียงอีก เมื่อเสียสละแล้วต้องซื่อสัตย์ คนที่ทำโครงการต่างๆของรัฐบาล ต้องทำตัวเหมือนพระ อย่าทำตัวเหมือนนายพราน อีกอย่างคือ ความกล้าหาญ หลายคนบอกว่า ตนเป็นคนก้าวร้าว ที่พูดตลอดเวลา ว่า ต้องหาทางทำให้ ปตท.เป็นของรัฐบาลให้ได้ ทั้งนี้เนื่องจากกิจกรรมพลังงาน เป็นต้นทุนของมวลชนในทุกแขนง ถ้าราคาน้ำมันแพง แล้วผลกำไรเป็นแสนล้าน กลับไปสู่ประเทศชาติ ตนไม่ขัดขวาง แต่ปัจจุบันกำไรกว่าแสนล้าน เอาไปแบ่งปันให้ผู้ถือหุ้น เป็นสิ่งที่ตนรับไม่ได้ ข้อสำคัญประการสุดท้าย คือ ทำงานเป็น ต้องกล้าหาญที่จะปฏิเสธผลประโยชน์ที่จะได้รับ รมว.พลังงาน ต้องกล้าบอกให้ ปตท.ลดราคา หรือหาทางให้ ปตท.กลับมาเป็นของประชาชน กล้าไม่ออก เพราะคนที่คลุมพลังงาน จะได้ค่าคอมมิชชัน ที่ไม่ต้องจ่ายเมื่อซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ ดังนั้น ทำให้นักการเมือง เกี่ยวพันกับสิ่งที่เขาบริหารอยู่ อันเป็นสาเหตุให้แก้ไม่ได้ ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยน เพราะถ้าประชาชนเข้มแข็ง ชุมชนเข้มแข็ง ธุรกิจเจริญเติบโตจากข้างล่างขึ้นมา นักลงทุนก็จะเข้มแข็งตาม ถ้างบประมาณของไทยสร้างรถไฟรางคู่วิ่งผ่าน อีสานต้องใช้ 2 หมื่นล้าน ทำไมต้องเป็น อิตัลไทย ประยูรวิศว์ สี่แสงโยธา ซิโน-ไทย มักจะได้จัดทำโครงการ

“ไม่เกินสิ้นปีหน้า ASTV อยู่ได้แล้ว โดยไม่ต้องพึ่งโฆษณา อยู่ได้ด้วยสินค้าที่เราขาย ข้าวสาร น้ำปลา ยาสีฟัน สบู่ ปุ๋ยขวัญดิน ของคุณลุงจำลอง มันมหัศจรรย์มาก เป็นเรื่องของคนที่จงรักภักดีที่ไม่อยากให้ ASTV จอดับ เพราะเขาอยากให้ ASTV ให้ปัญญากับประชาชนต่อไปเขาก็เลยไปซื้อสินค้า ASTV ความมหัศจรรย์ตรงนี้ CNN โทรศัพท์มาหาขอสัมภาษณ์ตน เป็นสถานีแห่งเดียวในโลกที่ขายสินค้า แล้วเอาเงินมาจ่ายพนักงาน หากทำสำเร็จจะเป็นสื่อเจ้าเดียวที่ให้ความจริงประชาชน” นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวว่า วันนี้ตนมาพูดในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ สิ่งที่ตนพูดให้ฟัง เสียสละ ซื้อสัตย์ กล้าหาญ และทำงานเป็น คือ หัวใจของพรรคการเมืองใหม่ มีคนบอกว่า ต้องขอเวลาเช็กจริยธรรมของตน ตรงนี้ยังมีเวลา แต่อย่างน้อยที่สุดประวัติตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน เป็นตัวพิสูนน์ให้ได้ ว่า ตนซื้อไม่ได้ ทั้งนี้ตนไม่ได้อยากเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ แต่ต้องเป็น เพราะ 1.ประชาชนเรียกร้องให้ตั้ง แล้วประชาชนเลือกให้ตนเป็น ถ้าหากไม่เป็นประชาชนก็จะ ถูกต่อว่าแล้วอย่างนี้จะเรียกชุมนุมให้มาตัดสินใจ ว่า จะตั้งพรรคการเมืองทำไม ดังนั้นเมื่อคนส่วนใหญ่เลือกให้ตนเป็น จึงจำเป็นต้องเป็น ความผิดอยู่ที่ตนเอง ที่ดันไปทำแบบสอบถาม 5 หมื่นชุด 80% เลือกตน ภารกิจนี้ค่อนข้างหนัก อย่างไรก็ตามตนอยากเรียนให้ผู้มีเกียรติทราบ ว่า พรรคการเมืองต้องใช้เงิน ไม่ใช่ซื้อเสียง หากเราส่ง ส.ส. 400 คน คนหนึ่งให้ใช้เงินในการเลือกตั้งไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ทำอะไรแทบไม่ได้ ท่านผู้ที่สนใจการลงทุน ถึงเวลาที่ท่านต้องลงทุนในพรรคการเมืองใหม่ ถ้าท่านต้องการให้ถึงจุดมุ่งหมายของพรรคการเมืองใหม่ ตนไม่อยากบอกว่าอยากจะขอคนละแสน หลายท่านอาจบอกว่าแล้วทำไมต้องจ่าย ตรงนี้ขอให้คิดไกลอีกสักนิด ที่ตนลุกขึ้นมาต่อสู้ 4-5 ปีเพื่ออะไร ถ้าอยากได้เงินก็รับเงินจากฝั่งตรงข้ามไปเลยไม่ดีกว่าหรือ

“อนาคตข้างหน้าถ้าพรรคการเมืองใหม่ เดินหน้าต่อไปไม่ได้ เพราะขาดเงิน แล้วเราจะยอมหรือหากจะต้องไปขอจากกลุ่มเหล้า นักธุรกิจ ซึ่งเขาให้เราแน่ แต่จะตกเป็นทาสเขา เราอยากทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์คนตัวเล็กๆ ทั้งนี้ หากในอนาคตอีก 3-4 ปีข้างหน้าสังคมไทยล่มสลายแล้ว ท่านอาจฉุดคิดได้ว่า เงินแสนเดียว ถ้ายอมเสียไปตอนนั้น แล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ มันคุ้มมาก อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ท้าทาย แต่อยากฝากให้ท่านคิด” นายสนธิ กล่าว

กำลังโหลดความคิดเห็น