คณะทำงานของ ป.ป.ช.เปิดผลสอบเช่าซื้อรถเมล์ 4 พันคัน พบส่อล็อกสเปกเขียนทีโออาร์ เอื้อประโยชน์ให้บางบริษัท ทั้งไม่ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แถม ขสมก.มั่วข้อมูล อ้างผลโพล-การบ้าน นศ.บอกความต้องการ ปชช.ทั้งที่ข้อมูลไม่ได้รับการยอมรับ แถมส่อเจ๊งยับเหตุมั่วต้นทุน แนะแยกประมูลทีละ 400 คัน เตรียมส่งข้อมูล “อภิสิทธิ์” ขู่ไม่ฟังระวังเจอดี
วันนี้ (27 ต.ค.) ที่สำนักงาน ป.ป.ช.นายต่อตระกูล ยมนาค ประธานคณะทำงานพิจารณาติดตามการเช่ารถยนต์โดยสารปรับอากาศโดยใช้ก๊าซธรรมชาติ (ซีเอ็นจี) ขององค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจาก นายเมธี ครองแก้ว กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะคณะอนุกรรมการป้องกันการทุจริตด้านเศรษฐกิจ ได้แถลงผลการศึกษาโครงการเช่ารถเมล์ 4,000 คัน หลังใช้เวลาศึกษานาน 4 เดือน
โดย นายศิริบูรณ์ เนาว์ถิ่นสุข กรรมการบริหารราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะคณะทำงาน กล่าวว่า การร่างทีโออาร์ที่ผ่านมาของ ขสมก.ทั้ง 11 ครั้ง ส่อว่าจะมีการล็อกสเปก เนื่องจากมีการกำหนดคุณลักษณะของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กำหนดว่ารถเมล์ที่จะเข้าโครงการต้องเป็นรถเมล์ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 236 แรงม้า การกำหนดว่าต้องเป็นดิสก์เบรกเอบีเอส ฯลฯ นอกจากการการกำหนดให้ใช้เชื้อเพลิงซีเอ็นจี โดยไม่กำหนดมาตรฐานเรื่องไอพิษ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต เพราะก๊าซธรรมชาติของไทยในปัจจุบันมาจากอ่าวไทยและพม่า ซึ่งมีองค์ประกอบไม่พึงประสงค์สูงกว่ามาตรฐาน
ด้าน รศ.สิริลักขณา คอมันตร์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะคณะทำงาน กล่าวว่า คณะทำงานพบข้อมูลที่น่าตกใจ หลังเชิญตัวแทน ขสมก.มาให้ข้อมูล เนื่องจากพบว่าไม่เคยมีการวิจัยประเมินความเป็นไปได้โครงการดังกล่าวอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด ผลการศึกษาด้านการตลาดก็อ้างอิงมาจากสวนดุสิตโพล ส่วนการศึกษาจากสถาบันพระปกเกล้า ก็เป็นเพียงรายงานของนักศึกษาที่ไปเรียนในสถาบันพระปกเกล้า ที่ไม่มีการลงชื่อผู้วิจัยแต่อย่างใด การศึกษาในส่วนสำคัญมากๆ นอกจากข้อมูลจะไม่ครบถ้วนบางส่วนยังเป็นเท็จ อาทิ ที่มาของตัวเลขต้นทุน ที่มาของจำนวนผู้โดยสาร ฯลฯ
รศ.สิริลักขณา กล่าวว่า ส่วนต้นทุนรถเมล์ต่อคันต่อวันที่ ขสมก.อ้างว่า น่าจะเสียค่าเช่า 1,885 บาท ค่าซ่อม 2,250 บาท เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมทั้งค่าก๊าซธรรมชาติที่คิดในอัตรากิโลกรัมละ 8.50 บาท รวมคันละ 5,870 บาท คณะทำงานได้รับข้อมูลจาก ปตท.ว่า ราคาก๊าซดังกล่าวจะตรึงไว้เพียง 2 ปีเท่านั้น จากนั้นจะขึ้นตามตลาดโลก นอกจากนี้ ตัวเลขของ ขสมก.ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการสร้างสถานีเติมก๊าซ การสร้างท่อก๊าซ ค่าที่ดินสร้างอู่ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เมื่อคณะทำงานประเมินแล้วค่าใช้จ่ายต่อคันต่อวันจึงน่าจะตกอยู่ที่ 6,458-9,152 บาท เมื่อรวมกับจำนวนผู้โดยสารต่อคันที่ ขสมก.ที่เพิ่มเป็น 350 คนต่อวัน ทั้งที่ปัจจุบันมีผู้โดยสารเพียงคันละ 226 คนเท่านั้น ดังนั้น หากดำเนินการต่อไปโครงการนี้จะต้องขาดทุนอย่างแน่นอน
“ที่สำคัญคือ การกำหนดตัวเลขว่าต้องเช่า 4,000 คัน ซึ่งไม่มีผู้ผลิตรถยนต์รายไหนทำได้ยกเว้นแหล่งผลิตแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่เหนือประเทศไทยเท่านั้น คณะทำงานจึงเสนอว่าควรจะแยกการประมูลออกเป็นครั้งละ 400 คัน เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังลบข้อครหาว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนบางราย” รศ.สิริลักขณา กล่าวและว่า คณะทำงานจะส่งรายงานฉบับนี้ให้กับนายกรัฐมนตรีให้เสนอต่อ ครม.ต่อไป ภายใน 1-2 วันนี้ เพื่อให้ไปดำเนินการต่อ ซึ่งไม่ทำอะไรแล้วภายหลังเกิดความเสียหาย ก็อาจจะถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินคดีฐานะละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โทษฐานที่เตือนแล้วแต่ไม่ฟัง” รศ.สิริลักขณา กล่าว
วันนี้ (27 ต.ค.) ที่สำนักงาน ป.ป.ช.นายต่อตระกูล ยมนาค ประธานคณะทำงานพิจารณาติดตามการเช่ารถยนต์โดยสารปรับอากาศโดยใช้ก๊าซธรรมชาติ (ซีเอ็นจี) ขององค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจาก นายเมธี ครองแก้ว กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะคณะอนุกรรมการป้องกันการทุจริตด้านเศรษฐกิจ ได้แถลงผลการศึกษาโครงการเช่ารถเมล์ 4,000 คัน หลังใช้เวลาศึกษานาน 4 เดือน
โดย นายศิริบูรณ์ เนาว์ถิ่นสุข กรรมการบริหารราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะคณะทำงาน กล่าวว่า การร่างทีโออาร์ที่ผ่านมาของ ขสมก.ทั้ง 11 ครั้ง ส่อว่าจะมีการล็อกสเปก เนื่องจากมีการกำหนดคุณลักษณะของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กำหนดว่ารถเมล์ที่จะเข้าโครงการต้องเป็นรถเมล์ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 236 แรงม้า การกำหนดว่าต้องเป็นดิสก์เบรกเอบีเอส ฯลฯ นอกจากการการกำหนดให้ใช้เชื้อเพลิงซีเอ็นจี โดยไม่กำหนดมาตรฐานเรื่องไอพิษ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต เพราะก๊าซธรรมชาติของไทยในปัจจุบันมาจากอ่าวไทยและพม่า ซึ่งมีองค์ประกอบไม่พึงประสงค์สูงกว่ามาตรฐาน
ด้าน รศ.สิริลักขณา คอมันตร์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะคณะทำงาน กล่าวว่า คณะทำงานพบข้อมูลที่น่าตกใจ หลังเชิญตัวแทน ขสมก.มาให้ข้อมูล เนื่องจากพบว่าไม่เคยมีการวิจัยประเมินความเป็นไปได้โครงการดังกล่าวอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด ผลการศึกษาด้านการตลาดก็อ้างอิงมาจากสวนดุสิตโพล ส่วนการศึกษาจากสถาบันพระปกเกล้า ก็เป็นเพียงรายงานของนักศึกษาที่ไปเรียนในสถาบันพระปกเกล้า ที่ไม่มีการลงชื่อผู้วิจัยแต่อย่างใด การศึกษาในส่วนสำคัญมากๆ นอกจากข้อมูลจะไม่ครบถ้วนบางส่วนยังเป็นเท็จ อาทิ ที่มาของตัวเลขต้นทุน ที่มาของจำนวนผู้โดยสาร ฯลฯ
รศ.สิริลักขณา กล่าวว่า ส่วนต้นทุนรถเมล์ต่อคันต่อวันที่ ขสมก.อ้างว่า น่าจะเสียค่าเช่า 1,885 บาท ค่าซ่อม 2,250 บาท เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมทั้งค่าก๊าซธรรมชาติที่คิดในอัตรากิโลกรัมละ 8.50 บาท รวมคันละ 5,870 บาท คณะทำงานได้รับข้อมูลจาก ปตท.ว่า ราคาก๊าซดังกล่าวจะตรึงไว้เพียง 2 ปีเท่านั้น จากนั้นจะขึ้นตามตลาดโลก นอกจากนี้ ตัวเลขของ ขสมก.ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการสร้างสถานีเติมก๊าซ การสร้างท่อก๊าซ ค่าที่ดินสร้างอู่ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เมื่อคณะทำงานประเมินแล้วค่าใช้จ่ายต่อคันต่อวันจึงน่าจะตกอยู่ที่ 6,458-9,152 บาท เมื่อรวมกับจำนวนผู้โดยสารต่อคันที่ ขสมก.ที่เพิ่มเป็น 350 คนต่อวัน ทั้งที่ปัจจุบันมีผู้โดยสารเพียงคันละ 226 คนเท่านั้น ดังนั้น หากดำเนินการต่อไปโครงการนี้จะต้องขาดทุนอย่างแน่นอน
“ที่สำคัญคือ การกำหนดตัวเลขว่าต้องเช่า 4,000 คัน ซึ่งไม่มีผู้ผลิตรถยนต์รายไหนทำได้ยกเว้นแหล่งผลิตแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่เหนือประเทศไทยเท่านั้น คณะทำงานจึงเสนอว่าควรจะแยกการประมูลออกเป็นครั้งละ 400 คัน เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังลบข้อครหาว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนบางราย” รศ.สิริลักขณา กล่าวและว่า คณะทำงานจะส่งรายงานฉบับนี้ให้กับนายกรัฐมนตรีให้เสนอต่อ ครม.ต่อไป ภายใน 1-2 วันนี้ เพื่อให้ไปดำเนินการต่อ ซึ่งไม่ทำอะไรแล้วภายหลังเกิดความเสียหาย ก็อาจจะถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินคดีฐานะละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โทษฐานที่เตือนแล้วแต่ไม่ฟัง” รศ.สิริลักขณา กล่าว
