xs
xsm
sm
md
lg

รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม อย่ามองประชาชนเป็นผู้ร้าย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง
นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน รายงานกับที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า ผู้คัดค้านการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด มี 3 กลุ่มคือ 1. กลุ่มทีมีนัยและหวังผลทางการเมือง 2. กลุ่มชาวบ้านที่เดือดร้อนจริงๆ และ 3. กลุ่มนักประท้วงมืออาชีพ โดยประเมินว่า เฉพาะกลุ่มที่ 3 นี้มีเงินเพื่อมาประท้วงโดยเฉพาะ

นับตั้งแต่ เกิดความขัดแย้งกรณีมาบตาพุด ก็ไม่เคยเห็นนายชาญชัย ทำอะไร เพื่อคลี่คลายปัญหา ปล่อยให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับภาระไปเต็มๆ แต่พออ้าปากพูดครั้งแรก ก็สะท้อนทัศนคติที่มองเห็นประชาชนเป็นผู้ร้ายอยู่ฝ่ายเดียว

เป็นทัศนคติแบบเดียวกับที่รัฐบาลชุดก่อนๆ มีต่อชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการเขื่อนปากมูล สมัชชาคนจนที่เดือดร้อนจากนโยบายของรัฐบาล


ปัญหาความขัดแย้ง กระทบกระทั่งกันระหว่างฝ่ายนักลงทุน กับประชาชน เกิดขึ้นมา และลุกลามขยายตัวไป โดยต่างฝ่ายต่างหาทางออกกันเอาเอง ไม่สามารถพึ่งรัฐบาลได้ ก็เพราะเรามีนักการเมือง ที่คิดแบบนี้ นักการเมืองที่ทนไม่ได้กับความเห็นที่แตกต่างของภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ไม่เข้าใจในเรื่องสิทธิของพลเมืองที่พึงได้รัยบการคุ้มครองจากรัฐ นักการเมืองที่มีจุดยืนอยู่ข้างฝ่ายทุน เอะอะอะไรก็อ้างแต่ บรรยากาศการลงทุน ความเจริญเติบโตจของเศรษฐกิจ

นายชาญชัย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ทำอะไรบ้าง นอกจากขนครอบครัว ร่วมเดินทางไปต่างประเทศ กับคณะของข้าราชการในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขาไปมีกระเป๋าคนละใบสอง ใบ ขากลับงอกเพิ่มขึ้นมาเป็น 40-50 ใบ เป็นข่าวโจษขานกันไปทั่วกระทรวง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ไม่ได้มีหน้าที่เพียงส่งเสริม ความเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรม โดยม่าสนใจว่า จะเกิดผลกระทบอะไรตามมา แต่บทบาทที่สำคัญกว่าคือ ดูแลไม่ให้การลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ไปสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชน ด้วยการสร้างความชัดเจนให้นักลงทุนรู้ว่า อะไรทำได้ ทำไม่ได้ อะไรบ้างที่ต้องทำ และทำอย่างไร

เป็นเพราะความเฉยเมย ไม่ใส่ใจของผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในรัฐบาล ในการดำเนินการตาม มาตรา 67 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญให้มีผลบังคับใช้ ปัญหาจึงบานปลาย ลุกลามขยายตัวออกไป

การลงทุน ของภาคเอกชนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และนิคมอื่นๆ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกนั้น ต้องยอมรับว่า มีบทบาทสำคัญอย่างสูงในการทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นมาได้ ในช่วง20 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของทั้ง 76 โครงการ ซึ่งมีทั้งการลงทุนใหม่ และการลงทุนเพิ่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการปิโตรเคมี ที่ต้องตั้งอยู่ทีมาบตาพุด และนิคมฯอื่นๆที่ใกล้เคียง ก็เพราะว่า ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบคือ แก๊สธรรมชาติ และมีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ทางรถไฟ ท่าเรือ รองรับอยู่แล้ว

แต่สิทธิของชุมชน ที่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ ก็เป็นสิ่งที่ต้องเคารพ เพราะอีกด้านหนึงของการพัฒนาอุตสาหกรรมคือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มลพิษที่กระทบต่อชุมชน ซึ่งไม่อาจวัดเป็นตัวเลขได้ แต่มีค่าสูงยิ่ง เพราะเป็นเรื่องของคุณภาพชีวิต

ประชาชนจึงมีสิทธิที่จะร้องขอความคุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้วางกติกาเอาไว้ ใน มาตรา 67 วรรค 2 ซึ่งบัญญัติว่า

“ การดำ เนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้ ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน รวมทั้งได้ให้องค์การอิสระ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพ ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว”

มาตรา 67 วรรค 2 นี้ คือกติกาของการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่ง เป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาลงทุนของนักลงทุนโครงการใหญ่ๆ ไม่แพ้ปัจจัยในเรื่องสิทธิ ประโยชน์การลงทุนเลยทีเดียว เพราะมาตรานี้ได้กำหนดกรอบกว้างๆ ว่าการดำ เนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ต้องผ่านกระบวนการ 3 ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนแรก ต้องจัดทำรายงานประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) และมีการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA)

ขั้นตอนที่สอง ต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่

ขั้นตอนที่สาม ต้องให้องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพให้ความเห็นประกอบการพิจารณาก่อนมีการดำเนินโครงการ

ปัจจุบันมีเพียง การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ EIA ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และจัดรับฟังความคิดเห็นตามตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 เท่านั้น

ส่วนองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ที่กำหนดทำหน้าที่ให้ความเห็นประกอบก่อนดำเนินโครงการนั้น ยังไม่มีการจัดตั้งแต่อย่างใด มีเพียงการแต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาและยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อม โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งได้ยกร่างกฎหมายและรับฟังความคิดเห็นทั่วประเทศแล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน 2551

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เคยเสนอปัญหาความไม่ชัดเจนของการดำเนินการตาม มาตรา 67 วรรค 2 ต่อที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2552 ซึ่งที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาข้อสรุปในแนวทางการปฏิบัติให้ชัดเจนตาม มาตรา 67 วรรคสอง

ขณะที่ ภาคประชาชนก็เรียกร้องให้ภาครัฐปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่มีผลบังคับใช้ในทันทีตั้งแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ และได้ร่วมกันยกร่างกฎหมายองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รวมถึงเสนอให้ปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 67

ทั้งข้อเสนอของ สภาอุตสาหกรรม และข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ไม่ได้รับการสนองตอบจากรัฐบาลเลย แต่การลงทุนของภาคเอกชนนั้นรอไม่ได้ หลายๆโครงการจึงลงมือก่อสร้าง เพราะถือว่าได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่มีอำนาจแล้ว ทำให้ภาคประชาชนต้องพึ่งศาลปกครองให้สั่งระงับการดำเนินโครงการไว้ชั่วคราว

คนผิดในเรื่องนี้คือ รัฐบาล ที่ไม่ดำเนินการตามมาตรา 67 วรรค 2 ให้มีกติกาที่ชัดเจนที่ทั้งฝ่ายนักลงทุน และภาคประชาชนจะได้ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ เป็นความรับผิดชอบของนายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่อีกคนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่โดยตรง คือ นายชาญชัย คนนี้นี่แหละ
กำลังโหลดความคิดเห็น