นายกฯ กังวลผลสำรวจ 500 โครงการ เสี่ยงขัด รธน.มาตรา 67 อาจต้องซ้ำประวัติศาสตร์ “มาบตาพุด” ยอมรับ การประชุม ครม.พรุ่งนี้ เตรียมหามาตรการเพื่อรับมือ “เอ็นจีโอ” เตรียมฟ้องศาลปกครองเพิ่มเติม พร้อมสั่งสภาพัฒน์ ชั่งน้ำหนักความคุ้มค่าของประเทศ เพื่อกำหนดทางเลือการลงทุนกับทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ขณะที่ รมว.อุตฯ ไม่หวั่นถูกฟ้องเพิ่ม เพราะเป็นการต่อสู่กันในกระบวนการทางกฎหมาย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณีที่องค์กรเอกชน (NGO) เตรียมร้องศาลปกครองเพิกถอนเพิ่มเติม 500 โครงการทั่วประเทศ ที่ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 เกี่ยวกับการศึกษาและประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า หากองค์กรภาคเอกชนจะมีการร้องศาลปกครองเพิ่มเติม ก็คงต้องรอผลการวินิจฉัยของศาล และรัฐบาลจะยื่นอุทธรณ์
นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า เรื่องดังกล่าวเป็นข้อกังวลของรัฐบาล หากศาลปกครองมีคำสั่งว่า กรณี 76 โครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นโครงการที่อนุมัติหลังรัฐธรรมนูญปี 2550 และไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ก็จะต้องมีโครงการลักษณะเดียวกันนี้ มากกว่า 76 โครงการ จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ไปสำรวจตัวเลขโครงการต่างๆ ทั่วประเทศ ที่อาจจะถูกฟ้องร้อง คิดว่าไม่น่าจะถึง 500 โครงการ
“ขอยืนยันว่า โครงการที่รัฐบาลให้ดำเนินการไป ถือว่าเป็นโครงการที่ไม่เข้าข่ายมาตรา 67 วรรค 2 โดยอาศัยรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 13 ตุลาคม 2552 (พรุ่งนี้) รัฐบาลจะพิจารณามาตรการรองรับเพิ่มเติม”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลพยายามทำความเข้าใจกับนักลงทุน เพราะมีหลายโครงการได้รับการอนุม้ติไปแล้ว แต่ต้องชะลอโครงการ บางโครงการก็ถูกระงับโครงการ ซึ่งอย่างไรก็ตาม เมื่อศาลปกครองวินิจฉัยออกมาอย่างไร ก็ต้องเคารพ และดำเนินการตามกฎหมาย แต่รัฐบาลพยายามจะดูแล ซึ่งการอุทธรณ์จะทำให้ได้มาตรการหรือมาตรฐานที่พอดี
“ผมพยายามเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยกัน ยอมรับว่า สภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้า หวั่นไหวกับกรณีที่เกิดขึ้น รัฐบาลทำความเข้าใจในระดับหนึ่งแล้ว และไม่ได้นิ่งนอนใจ เชื่อว่าหลังจากนำเรื่องการออกระเบียบต่างๆ เข้า ครม.จะมีความชัดเจนมากขึ้น”
ต่อข้อถามว่า สิ่งที่เอ็นจีโอและประชาชนสะท้อนมา เป็นการสร้างภาพเกินจริงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แล้วแต่การประเมิน แต่ส่วนตัวต้องการให้ทุกคนอยู่บนความเป็นจริง เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ไม่เคยมีการประเมินว่า ทรัพยากรธรรมชาติที่สูญเสียไปจากโครงการต่างๆ มากกว่ามูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ครั้งล่าสุด ได้มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นผู้ประเมินเรื่องอุตสาหกรรมทั้งหมด ซึ่งต้องดูว่า อะไรคือความคุ้มค่าของประเทศ และนำกลับมารายงาน ครม.อีกครั้ง
“เมื่อนำกลับมารายงาน จะชี้ให้เห็นว่า หากเราปฏิเสธอุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรม เพราะคิดว่ากระทบกับสิ่งแวดล้อม หรือทรัพยากรธรรมชาติ มากกว่าที่เราจะยอมรับ แล้วผลกระทบต่อการจ้างงาน ต่อรายได้ ต่อการได้วัตถุดิบต่างๆ จะเป็นอย่างไร และจะทดแทนด้วยรายได้จากอุตสาหกรรมอื่นอย่างไร ผมคิดว่าจะได้คำตอบสำหรับระยะยาว”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทิศทางของรัฐบาลในการชั่งน้ำหนัก ระหว่างผลที่ได้จากการลงทุนกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมคืออะไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะต้องเอาข้อเท็จจริงมาดูก่อน
นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า หากองค์กรภาคประชาชน จะฟ้องศาลปกครองให้มีคำสั่งชะลอโครงการลงทุน 500 โครงการของภาคเอกชนทั่วประเทศ ก็ถือเป็นสิทธิของแต่ละบุคคลจะดำเนินการได้ ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมต้องพิจารณาปัญหาเรื่องดังกล่าว และพร้อมอุทธรณ์เรื่องต่อศาล โดยเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนสามารถดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องผิดที่เกิดปัญหาขึ้น ทางรัฐบาลมีฝ่ายติดตามด้านกฎหมายว่าจะหาทางออกอย่างไร เพื่อทำให้อยู่ในกระบวนการของกฎหมาย ในส่วนภาคเอกชนก็ต้องมีการขยายการลงทุนให้เป็นไปตามกรอบถูกต้อง ไม่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน