นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" ถึงภาพรวมเศรษฐกิจของไทย ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆ ได้รายงานตัวเลขการจ้างงาน การจัดเก็บภาษี การส่งออก-นำเข้า ภาคการท่องเที่ยว แนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งหลังจากเดือนเมษายนเป็นต้นมาเศรษฐกิจไทยดีขึ้นเป็นลำดับ แต่มองว่าสภาวะดังกล่าวยังไม่น่าวางใจ รัฐบาลจึงจะเดินหน้าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการระดมการลงทุน ขยายโอกาสทางการค้า รวมทั้งการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ คณะรัฐมนตรีจะเร่งพิจารณาโครงการต่างๆ ที่จะมาสนับสนุนแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ซึ่งแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งในช่วงที่ 2 จะมีการปรับเล็กน้อย เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น จึงจะเน้นโครงการในเชิงยุทธศาสตร์สำหรับระยะกลาง ระยะยาวมากขึ้น เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้าน จะให้เม็ดเงินกระจายหรือหมุนเวียนไปยังประชาชนรายใหม่มากขึ้น โดยรัฐบาลได้วางแนวทางในการแก้ไขปัญหา คือเปิดโอกาสให้กองทุนหมู่บ้านต่างๆ พิจารณาเงื่อนไขการชำระหนี้ด้วยการขยายเวลาการชำระหนี้จากภายใน 1 ปี เป็น 2 ปีได้ หากคณะกรรมการเห็นสมควร ซึ่งจะทำให้การกู้ยืมนอกระบบลดน้อยลง
นอกจากนี้ รัฐบาลยังพิจารณาเพิ่มเม็ดเงินลงไปในกองทุนหมู่บ้านต่างๆ โดยจะพิจารณาจากกองทุนที่บริหารจัดการเป็นนิติบุคคลแล้ว และจะใช้บุคลากรที่อบรมจากโครงการต้นกล้าอาชีพเป็นผู้ออกไปสำรวจสภาพปัญหากองทุน รวมถึงติดตามเม็ดเงินที่ปล่อยกู้ไปแล้วว่ามีการสร้างงานสร้างอาชีพได้จริงหรือไม่ เพื่อนำมาปรับปรุงการบริหารจัดการ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณ 19,000 ล้านบาท รวมถึงโครงการประกันรายได้เกษตรกร จะมีการนำงบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการประกันรายได้ของเกษตรกรในฤดูกาลแรก
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า จากนี้ไปจะมีการติดตามตรวจสอบการนำเม็ดเงินจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งไปใช้ในโครงการต่างๆ อย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และทันทีเมื่อมีเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตจะเข้าไปตรวจสอบเพื่อไม่ให้ปัญหาต่างๆ เข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพและความโปร่งใสของแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งเหมือนเช่นกรณีของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว แม้รายการที่เป็นปัญหาต่างๆ ยังไม่มีการอนุมัติในการจัดซื้อจัดจ้างแต่อย่างใด
นอกจากนี้ รัฐบาลยังพิจารณาเพิ่มเม็ดเงินลงไปในกองทุนหมู่บ้านต่างๆ โดยจะพิจารณาจากกองทุนที่บริหารจัดการเป็นนิติบุคคลแล้ว และจะใช้บุคลากรที่อบรมจากโครงการต้นกล้าอาชีพเป็นผู้ออกไปสำรวจสภาพปัญหากองทุน รวมถึงติดตามเม็ดเงินที่ปล่อยกู้ไปแล้วว่ามีการสร้างงานสร้างอาชีพได้จริงหรือไม่ เพื่อนำมาปรับปรุงการบริหารจัดการ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณ 19,000 ล้านบาท รวมถึงโครงการประกันรายได้เกษตรกร จะมีการนำงบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการประกันรายได้ของเกษตรกรในฤดูกาลแรก
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า จากนี้ไปจะมีการติดตามตรวจสอบการนำเม็ดเงินจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งไปใช้ในโครงการต่างๆ อย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และทันทีเมื่อมีเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตจะเข้าไปตรวจสอบเพื่อไม่ให้ปัญหาต่างๆ เข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพและความโปร่งใสของแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งเหมือนเช่นกรณีของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว แม้รายการที่เป็นปัญหาต่างๆ ยังไม่มีการอนุมัติในการจัดซื้อจัดจ้างแต่อย่างใด