“วิทยา” ไฟเขียว “หมอไพจิตร” ปลดล็อกสเปกรายการครุภัณฑ์ “ไทยเข้มแข็ง” ได้ทันทีหากเอื้อบริษัทใดบริษัทหนึ่ง พร้อมรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรทุกวัน เชื่อใจ “แม่เลี้ยงติ๊ก”ไม่เกี่ยวงาบงบฯ แต่หากพบใครมีเอี่ยวฟันไม่เลี้ยง ทั้งนักการเมืองและข้าราชการ สั่งชะลอจัดซื้อครุภัณฑ์ 6 รายการเจ้าปัญหา และให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงใน 1 สัปดาห์ ส่วนอีก 7,400 รายการ ขีดเส้นเช็คข้อมูลให้เสร็จใน 1 เดือน "มาร์ค"เตรียมเสนอครม.เพิ่มงบไทยเข้มแข็งอีก1.5แสนล้าน
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ได้สั่งการให้ นพ.ไพจิตร์ วราชิต รักษาราชการแทนปลัด สธ.ดำเนินการตรวจสอบรายการครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จะมีการจัดซื้อภายใต้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (เอสพี2) หรือ โครงการไทยเข้มแข็งใหม่ทั้งหมด หากตรวจพบว่ารายการใดมีการกำหนดสเปก เพื่อเอื้อให้บริษัทเอกชนแห่งใดแห่งหนึ่ง ให้สามารถคลายสเปกได้ทันที และให้รายงานให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรทุกวันและทุกขั้นตอน
“ขณะนี้มีทั้งตัวย่อ “ม”, “ป”, “ก” และ “ร” จนงงไปหมด แต่ถ้าตรวจสอบแล้วรู้ว่าเป็นใคร ถ้าอยู่ในอำนาจที่จะดำเนินการ ก็จะไม่ปล่อยไว้แน่ ไม่ว่านักการเมืองหรือข้าราชการประจำ และได้ให้นโยบายแก่ปลัดสธ.ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็ม ไม่ต้องกลัวใคร ถ้าตรวจสอบแล้วพบก็ให้นำเรื่องจริงมาเปิดเผย ว่า มีนักการเมือง หรือแม้แต่เป็นผู้ที่มีตำแหน่งในรัฐบาลก็ขอให้รายงานให้ผมทราบ จะต้องไม่มีการโยนบาปให้แพะ โดยผมจะรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ เพราะถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของรัฐมนตรีทุกคน ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดก็ตาม”นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวอีกว่า ได้สอบถามนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู หรือ แม่เลี้ยงติ๊ก ซึ่งเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่เข้าข่ายมีอักษรย่อ ต. และเป็นเลขานุการตน มาสอบถามแล้วว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการไปพบบริษัทรถยนต์ เพื่อตกลงเกี่ยวกับการจัดซื้อรถพยาบาลหรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบว่า ไม่เคยไปพบ หรือรู้จักบริษัทเครื่องมือแพทย์ ตนก็ต้องเชื่อใจ แต่ในอนาคตหากมีการตรวจสอบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ตนจะปลดออกจากตำแหน่งเลขาฯ และดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งหากมีนักการเมืองพรรคอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทุจริต ก็จะรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบและพิจารณาต่อไป
นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข กล่าวยันยันว่า ตนไม่เคยมีการหารือหรือนัดเจอพูดคุยกับใคร เรื่องรถพยาบาลฉุกเฉินเพียงแต่เสนอความเห็นว่า ควรให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดคุณลักษณะของรถพยาบาลฉุกเฉิน เนื่องจากเป็นผู้ใช้โดยตรง แต่ขณะนี้ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการกำหนดสเปกและยังไม่มีการจัดซื้อเลย
สั่งชะลอ6รายการซื้อครุภัณฑ์
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต รักษาการณ์ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ได้สั่งให้ชะลอรายการครุภัณฑ์ 6 รายการในโครงการไทยเข้มแข็งแล้ว คือ 1 เครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัตราไวโอเลตหรือ ยูวีแฟน 2 เครื่องช่วยหายใจ 3 เครื่องดมยาสลบ 4 เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจหรือเซ็นทรัลโมนิเตอร์ 5 เครื่องตรวจสารเคมีในเลือด และ 6 รถพยาบาล ให้คณะกรรมการชุดตรวจสอบรายการที่เป็นปัญหา โดยมี นพ.เสรี หงษ์หยก เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการจัดซื้อ ตรวจสอบให้เสร็จสิ้นใน 1 สัปดาห์ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและให้สาธารณชนเกิดความกระจ่าง
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า ส่วนคณะกรรมการชุดตรวจสอบทบทวนความเหมาะสมโครงการฯ ทั้งหมด ซึ่งมาจากผู้แทนหลายฝ่าย ให้ตรวจสอบรายการในโครงการฯ ที่มีทั้งหมด 14 โครงการ รวม 7,400 รายการ โดย 66% เป็นงบลงทุนการพัฒนาปรับปรุงอาคารสถานที่และสิ่งก่อสร้าง 27% เป็นงบจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัย การรักษาและอื่น ๆ 5% เป็นงบผลิตและพัฒนาศักยภาพบุคลากร และที่เหลืออีก 2% เป็นงบดำเนินงาน โดยกำหนดให้ทบทวนให้แล้วเสร็จใน 1 เดือน เพื่อพิจารณาความคุ้มค่า ราคาสูงเกินจริงเกินจริงหรือไม่ และรายงานผล รมว.สาธารณสุขทุกวัน
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผอ.สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมฯ กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าในส่วนของเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัตราไวโอเลตราคา 4 หมื่นบาทนั้น ไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มเสนอให้แจกจ่ายเครื่องดังกล่าวไปทั่วประเทศ แต่เมื่อรวบรวมข้อมูลความต้องการของทั้งประเทศพบว่า มีเครื่องดังกล่าวอยู่ในรายการครุภัณฑ์ภาพรวมของทั้งประเทศแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สอดแทรกเข้ามาในรายการที่โรงพยาบาลต้องการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสัปดาห์หน้านายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข จะเริ่มเดินสายรับฟังปัญหาและอุปสรรคการดำเนินงานตามโครงการฯ จากพื้นที่โดยตรงด้วย
'มาร์ค'เล็งเพิ่มงบไทยเข้มแข็งอีก1.5แสนล.
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันอังคารที่ 13 ต.ค. เพื่อให้พิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนสำคัญภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ส่วนเพิ่มเติม ที่ใช้เงินในส่วนที่เหลือจากการชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2552 จำนวน 1.5 แสนล้านบาท มาใช้ลงทุนในโครงการสำคัญ เช่น การประกันรายได้ให้เกษตรกร และกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น
" หลังจากครม.อนุมัติ พ.ร.ก.ในส่วน 2 แสนล้านบาทแล้ว ประเมินว่าเงินที่จะนำมาใช้จาก พ.ร.ก. 1.5 แสนล้านบาท กำลังพิจารณาในโครงการสำคัญๆ เช่น การประกันรายได้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งโครงการต่างๆ จะเสนอครม.วันที่ 13 ต.ค."
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วงเงิน 4 แสนล้านบาทตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้ยืมเงินเพื่อการฟื้นฟู และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจนั้น จะได้มีการทบทวนบางโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง โดยจะหันมาเน้นยุทธศาสตร์การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวให้มากขึ้น หลังจากที่พบว่าเศรษฐกิจเริ่มจะฟื้นตัวแล้ว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาทบทวนแผนดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 2-3 เดือนจากนี้.
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ได้สั่งการให้ นพ.ไพจิตร์ วราชิต รักษาราชการแทนปลัด สธ.ดำเนินการตรวจสอบรายการครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จะมีการจัดซื้อภายใต้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (เอสพี2) หรือ โครงการไทยเข้มแข็งใหม่ทั้งหมด หากตรวจพบว่ารายการใดมีการกำหนดสเปก เพื่อเอื้อให้บริษัทเอกชนแห่งใดแห่งหนึ่ง ให้สามารถคลายสเปกได้ทันที และให้รายงานให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรทุกวันและทุกขั้นตอน
“ขณะนี้มีทั้งตัวย่อ “ม”, “ป”, “ก” และ “ร” จนงงไปหมด แต่ถ้าตรวจสอบแล้วรู้ว่าเป็นใคร ถ้าอยู่ในอำนาจที่จะดำเนินการ ก็จะไม่ปล่อยไว้แน่ ไม่ว่านักการเมืองหรือข้าราชการประจำ และได้ให้นโยบายแก่ปลัดสธ.ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็ม ไม่ต้องกลัวใคร ถ้าตรวจสอบแล้วพบก็ให้นำเรื่องจริงมาเปิดเผย ว่า มีนักการเมือง หรือแม้แต่เป็นผู้ที่มีตำแหน่งในรัฐบาลก็ขอให้รายงานให้ผมทราบ จะต้องไม่มีการโยนบาปให้แพะ โดยผมจะรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ เพราะถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของรัฐมนตรีทุกคน ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดก็ตาม”นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวอีกว่า ได้สอบถามนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู หรือ แม่เลี้ยงติ๊ก ซึ่งเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่เข้าข่ายมีอักษรย่อ ต. และเป็นเลขานุการตน มาสอบถามแล้วว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการไปพบบริษัทรถยนต์ เพื่อตกลงเกี่ยวกับการจัดซื้อรถพยาบาลหรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบว่า ไม่เคยไปพบ หรือรู้จักบริษัทเครื่องมือแพทย์ ตนก็ต้องเชื่อใจ แต่ในอนาคตหากมีการตรวจสอบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ตนจะปลดออกจากตำแหน่งเลขาฯ และดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งหากมีนักการเมืองพรรคอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทุจริต ก็จะรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบและพิจารณาต่อไป
นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข กล่าวยันยันว่า ตนไม่เคยมีการหารือหรือนัดเจอพูดคุยกับใคร เรื่องรถพยาบาลฉุกเฉินเพียงแต่เสนอความเห็นว่า ควรให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดคุณลักษณะของรถพยาบาลฉุกเฉิน เนื่องจากเป็นผู้ใช้โดยตรง แต่ขณะนี้ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการกำหนดสเปกและยังไม่มีการจัดซื้อเลย
สั่งชะลอ6รายการซื้อครุภัณฑ์
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต รักษาการณ์ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ได้สั่งให้ชะลอรายการครุภัณฑ์ 6 รายการในโครงการไทยเข้มแข็งแล้ว คือ 1 เครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัตราไวโอเลตหรือ ยูวีแฟน 2 เครื่องช่วยหายใจ 3 เครื่องดมยาสลบ 4 เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจหรือเซ็นทรัลโมนิเตอร์ 5 เครื่องตรวจสารเคมีในเลือด และ 6 รถพยาบาล ให้คณะกรรมการชุดตรวจสอบรายการที่เป็นปัญหา โดยมี นพ.เสรี หงษ์หยก เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการจัดซื้อ ตรวจสอบให้เสร็จสิ้นใน 1 สัปดาห์ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและให้สาธารณชนเกิดความกระจ่าง
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า ส่วนคณะกรรมการชุดตรวจสอบทบทวนความเหมาะสมโครงการฯ ทั้งหมด ซึ่งมาจากผู้แทนหลายฝ่าย ให้ตรวจสอบรายการในโครงการฯ ที่มีทั้งหมด 14 โครงการ รวม 7,400 รายการ โดย 66% เป็นงบลงทุนการพัฒนาปรับปรุงอาคารสถานที่และสิ่งก่อสร้าง 27% เป็นงบจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัย การรักษาและอื่น ๆ 5% เป็นงบผลิตและพัฒนาศักยภาพบุคลากร และที่เหลืออีก 2% เป็นงบดำเนินงาน โดยกำหนดให้ทบทวนให้แล้วเสร็จใน 1 เดือน เพื่อพิจารณาความคุ้มค่า ราคาสูงเกินจริงเกินจริงหรือไม่ และรายงานผล รมว.สาธารณสุขทุกวัน
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผอ.สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมฯ กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าในส่วนของเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัตราไวโอเลตราคา 4 หมื่นบาทนั้น ไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มเสนอให้แจกจ่ายเครื่องดังกล่าวไปทั่วประเทศ แต่เมื่อรวบรวมข้อมูลความต้องการของทั้งประเทศพบว่า มีเครื่องดังกล่าวอยู่ในรายการครุภัณฑ์ภาพรวมของทั้งประเทศแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สอดแทรกเข้ามาในรายการที่โรงพยาบาลต้องการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสัปดาห์หน้านายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข จะเริ่มเดินสายรับฟังปัญหาและอุปสรรคการดำเนินงานตามโครงการฯ จากพื้นที่โดยตรงด้วย
'มาร์ค'เล็งเพิ่มงบไทยเข้มแข็งอีก1.5แสนล.
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันอังคารที่ 13 ต.ค. เพื่อให้พิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนสำคัญภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ส่วนเพิ่มเติม ที่ใช้เงินในส่วนที่เหลือจากการชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2552 จำนวน 1.5 แสนล้านบาท มาใช้ลงทุนในโครงการสำคัญ เช่น การประกันรายได้ให้เกษตรกร และกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น
" หลังจากครม.อนุมัติ พ.ร.ก.ในส่วน 2 แสนล้านบาทแล้ว ประเมินว่าเงินที่จะนำมาใช้จาก พ.ร.ก. 1.5 แสนล้านบาท กำลังพิจารณาในโครงการสำคัญๆ เช่น การประกันรายได้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งโครงการต่างๆ จะเสนอครม.วันที่ 13 ต.ค."
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วงเงิน 4 แสนล้านบาทตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้ยืมเงินเพื่อการฟื้นฟู และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจนั้น จะได้มีการทบทวนบางโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง โดยจะหันมาเน้นยุทธศาสตร์การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวให้มากขึ้น หลังจากที่พบว่าเศรษฐกิจเริ่มจะฟื้นตัวแล้ว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาทบทวนแผนดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 2-3 เดือนจากนี้.