การประกาศยุติการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่คณะอนุ ก.ตร.ชุดพิเศษตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก. – สารวัตร ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่า คณะอนุฯ ก.ตร.ตั้งขึ้นมาเพื่อสอบสวนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจปี 2552 ดังนั้น เมื่อผลสรุปของคณะกรรมการเห็นว่าไม่มีมูล ก็ต้องยุติเรื่อง
เห็นแล้วอึ้ง งงจริงๆ ว่า เอาสมองส่วนไหนคิด หรือว่าหัวที่คิดไม่ใช่หัวสมองแต่เป็นหัวอย่างอื่น? การประมวลผลจึงออกมาประจานเจ้าของว่าไม่กลวงถึงที่สุด ก็หน้ามืดตามัวที่จะช่วยคนผิดจนลืมคิดไปว่าตัวเองอาจต้องเข้าปิ้งรับกรรมแทน
ย้อนดูเหตุผลการออกคำสั่งตั้งคณะอนุ ก.ตร.ชุดนี้กันหน่อยว่า เป็นอย่างที่ “สุเทพ” พูดว่า ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเฉพาะปัญหาการโยกย้ายในปี 2552 จริงหรือไม่?
ประกาศคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ฉบับลงวันที่ 14 สิงหาคม 2552 เรื่องแต่งตั้งอนุกรรมการ ก.ตร. เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี นายศิริโชค โสภา ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันพุธที่ 12 สิงหาคม 2552 ว่า มีข้อมูลเรื่องการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการตำรวจระดับรอง ผบก.ลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน บช.ภ.7
มีตรงไหนที่ระบุ หรือว่าให้คณะอนุ ก.ตร.ชุดนี้ตรวจสอบเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายในปี 2552 เท่านั้น
หรือ สมมติว่าถ้าจะมีการระบุจริง ทำไม อนุฯ ก.ตร.ทั้งชุดจึงสืบสาวไปถึงการแต่งตั้งโยกย้ายในปี 2551 คำตอบง่าย ๆ ก็คือว่า เป็นเพราะการโยกย้ายครั้งนั้นเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่ทำให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในการพยายามแสวงหาประโยชน์จากเก้าอี้ของคนสีกากี ที่กำลังจัดทำในปี 2552
แต่ที่ คณะอนุฯ ก.ตร.สรุปว่า การแต่งตั้งในปี 2552 ไม่พบปัญหาก็เพราะว่าการจัดเตรียมบัญชีดังกล่าวยังดำเนินการไม่เสร็จ สอดคล้องกับหนังสือชี้แจงของ “ศิริโชค” ที่ยื่นต่อ อนุฯ ก.ตร.ระบุว่า
“มีความแตกต่างระหว่างการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้กับ การแต่งตั้งโยกย้ายปลายปี 2551 คือ เมื่อมีการร้องเรียน การแต่งตั้งโยกย้ายในปี 2551 ก็เสร็จสิ้นไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ทำได้เพียงแค่เยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมเท่านั้น แต่กรณีนี้การจัดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับรองผู้บังคับการ–สารวัตร ยังไม่แล้วเสร็จ กระผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ในการป้องปรามเพื่อผดุงไว้ซึ่งความเป็นธรรมในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
เมื่อคณะอนุฯ ก.ตร.ทำการตรวจสอบ และพบข้อเท็จจริงว่า น่าเชื่อว่าจะมีการทุจริตหรือแสวงหาประโยชน์จากการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจปี 2551 และเสนอให้ ก.ตร. มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 84 และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2547
ที่สำคัญมีอนุฯ ก.ตร.เสียงข้างน้อย 1 เสียง มีความเห็นที่ดุเดือดไปกว่านั้นว่า การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว ควรตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงกับ ผบ.ตร. (พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ) และเสนอให้ดำเนินคดีอาญาด้วย!
แถมเรื่องนี้ถูกบรรจุเป็นวาระการประชุม ก.ตร.ในวันที่ 21 ก.ย. เพื่อให้ ก.ตร. มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง แต่ “สุเทพ” กลับถอนเรื่องนี้ออกจากวาระการประชุม โดยไม่มีการแจ้งเหตุผลใดๆ กับที่ประชุม และมีคำสั่งยุติเรื่องตามมาในภายหลัง
คำถามคือ แม้ว่า “สุเทพ” จะเป็นประธาน ก.ตร. แต่คำสั่งตั้งคณะอนุฯก.ตร.ชุดนี้เกิดจากที่ประชุม ก.ตร. หากเห็นว่าผลสรุปไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ก็ต้องให้ที่ประชุม ก.ตร.เป็นผู้ตัดสินว่าจะยุติเรื่องหรือจะเดินหน้าต่อ แต่นี่กลับชี้ขาดโดยคนเป็นประธาน แล้ว ก.ตร.ทั้งชุดจะมีความหมายอะไร
ถ้า “สุเทพ” จะเฉลียวใจสักนิด ไม่ใช่คิดกุมเป้ารับคำสั่งจากพี่น้องวงษ์สุวรรณกับเนวิน ชิดชอบ เพียงอย่างเดียว ก็จะระลึกได้ว่า การกระทำของตัวเองไม่ใช่แค่สุ่มเสี่ยงแต่เข้าข่ายการกระทำผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 157
เพราะผลสรุปของ อนุฯ ก.ตร. ชัดเจนว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น และเป็นหน้าที่ของ ก.ตร. ที่จะต้องให้ความเป็นธรรมและหาคนทำผิดมาลงโทษ
ที่สำคัญคือ ควรได้ใช้ปัญหานี้เป็นบทเรียนเพื่อปรับปรุงกติกาการแต่งตั้งโยกย้ายให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น และอุดช่องว่างการแสวงหาประโยชน์จากการแต่งตั้งเสีย จึงจะสมเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี แต่นอกจาก “สุเทพ” จะไม่ดำเนินการตามหน้าที่แล้วยังสั่งยุติเรื่องเสียอีก
จึงไม่แปลกเลยที่ พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิ ในฐานะโฆษก คณะอนุฯ ก.ตร.ชุดนี้จะข้องใจกับการกระทำของ “สุเทพ” และเตรียมที่จะสอบถามเรื่องนี้ในที่ประชุม ก.ตร.นัดหน้า
ความจริงน่าจะสรุปข้อเท็จจริงทั้งหมดเสนอให้ “อภิสิทธิ์” ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด พิจารณาดูว่า การกระทำของ “สุเทพ” ยังสมควรได้รับความไว้วางใจให้กำกับดูแล สตช. ต่อไปหรือไม่