ชมรม ส.ส.ร.50 กระทุ้งผู้ตรวจฯส่งผลศึกษาปัญหาบังคับใช้ รธน.พร้อมออกแถลงการณ์จวกนายกฯมุบมิบตกลงเงื่อนไขตามแก๊งซากศพ 111 และ 109 กก.บห.ที่ถูกตัดสิทธิ์ เข้าข่ายขัด รธน.ม.122 “เกียรติชัย” เตือนสติ อย่าทำตัวเป็นจงอางหวงไข่ ให้สร้างเครือข่ายแนวร่วม แทนการออกหน้าปะทะทุกเรื่อง ด้าน “ประสงค์ สุ่น” ขู่ ผู้ตรวจการแผ่นดิน หากขัดขืนไม่ทำตาม รธน.โดนมาตรา 157 แน่ เปรียบ ส.ส.- ส.ว.ร่วมลงชื่อแก้รธนหมือน “วรนุส” ดิ้นพลาด ด่ากราด ส.ส.เลวระยำ ยื่นถอด ป.ป.ช.
วันนี้ (6 ต.ค.) ที่รัฐสภา ชมรม ส.ส.ร.50 นำโดย นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และประธานชมรม ส.ส.ร.50 น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้หารือถึงการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายการเมือง โดย นายเสรี ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า จากการทำหนังสือเพื่อสอบถามไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอรับทราบการติดตาม และประเมินผล รวมทั้งข้อเสนอแนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญจากการประชุมของชมรม ส.ส.ร.50 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ดังนั้น ทางชมรมที่ทำหนังสือทวงถามความคืบหน้า ไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังเป็นที่ถกเถียงจากทุกฝ่าย ว่า จะทำประชามติในขั้นตอนไหน ทำให้หลักการทำประชามติเสียไป เพราะถ้าไม่เป็นที่ยอมรับก็ไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะไปถามประชาชน และแค่การลงชื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ส.ส.-ส.ว.ก็ยังมีปัญหาว่าจะมีใครกล้าลงชื่อหรือไม่ เพราะองค์กรต่างๆ ที่อยู่ข้างนอกเตรียมยื่นถอดถอนอยู่แล้ว
ด้าน นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ส.ร.กล่าวว่า จากการพบปะระหว่างนายกฯและเจ้าของพรรคร่วมรัฐบาลตัวจริง ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ได้ไปรวมตัวกันที่บ้านพิษณุโลก เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา มีการตกลงกันเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงนี้เข้าข่ายกระทำความผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 122 ชัดเจน ที่ห้าม ส.ส.-ส.ว.ต้องไม่กระทำการอยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และเพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ดังนั้น หาก ส.ส.ของพรรคการเมืองเหล่านี้ กระทำตามข้อตกลงที่บ้านพิษณุโลก ก็ถือว่าชัดเจนมีเหตุเหตุกระทำผิด เพราะได้ปรากฏภาพตามสื่อต่างๆ ถือว่า ส.ส.เหล่านั้นกระทำ ทำภายใต้การครอบงำของเจ้าของพรรคตัวจริงเหล่านี้ เพื่อให้ได้ประโยชน์ในการเลือกตั้งใหม่ และเพื่อให้ผู้กระทำผิดที่ถูกศาลตัดสินได้ลดโทษหรือพ้นจากการลงโทษ น่าจะเป็นเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ และขอเสนอให้ชมรม ส.ส.ร.50 ดำเนินการกับผู้ตรวจการแผ่นดิน หากยังไม่ยอมให้คำตอบภายใน 15 วัน ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 244(3) กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ต้องดำเนินการจึงเห็นควรยื่นเรื่องให้ คณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ด้าน น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า การทำหน้าที่ของ ส.ส.ร.ไม่ใช่สร้างขึ้นมาแล้วทิ้งเลย โดยไม่รับผิดชอบ กรณีที่ ส.ส.ร.ได้ยื่นหนังสือให้กับผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา แต่ก็ยังไม่ทำอะไร ซึ่งตนเห็นว่า หากเราให้สติผู้ตรวจฯไปว่า หน้าที่ของผู้ตรวจฯได้ทำอะไรไปบ้าง โดยเฉพาะการแก้รัฐธรรมนูญ หากยังเฉยก็ต้องมีดุดันกันไปบ้าง ทั้งนี้ จะรอ 15 วัน ไม่แจ้งกลับมาก็ควรดำเนินการตามที่เห็นสมควร ในส่วนของ ส.ส.และ ส.ว.ที่กำลังจะเข้าชื่อเสนอแก้รัฐธรรมนูญ เป็นลักษณะของวรนุสที่ดิ้นพล่าน เพราะรัฐธรรมนูญนี้เหมือนยาที่ถูกกับโรค ดังนั้น คนพวกนี้จึงต้องเคลื่อนไหว ส.ส.ร.ไม่ใช่จงอางหวงไข่ แก้รัฐธรรมนูญแก้ได้ แต่ต้องถามว่าแก้อะไร เพื่อใคร แก้เมื่อไหร่ ต้องพิจารณาประกอบกันไป และไม่เพียงเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ได้ข่าวว่า มี ส.ส.พรรคหนึ่ง เข้าชื่อยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อถอดถอน ป.ป.ช.อยากจะใช้คำว่า “เลวระยำ” ป.ป.ช.ชุดนี้ทำผลงานหลายเรื่อง โดยเฉพาะการชี้มูล 2-3 เรื่องที่ผ่านมา แม้บางเรื่องจะช้าไปบ้าง แต่เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ บ้านเมืองทุกวันนี้พึ่งพาอะไรไม่ได้ แม้แต่ฝ่ายบริหารหรือนิติบัญญัติ มัวแต่ยุ่งกันแค่ 3-4 เรื่อง แก้รัฐธรรมนูญ คลิปนายกฯ มีเท่านี้ ไม่มีกฎหมายที่เป็นประโยชน์ซักฉบับ “วันนี้คนระยำมันครองเมือง”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมได้ถกเถียงกันถึงบทบาทของเจ้าของพรรคร่วมตัวจริง ซึ่งอดีต ส.ส.ร.หลายคนเห็นควรให้ระบุชื่อลงไปในแถลงการณ์ แต่ นายเกียรติชัย พงษ์พานิช อดีต ส.ส.ร.ท้วงติง ว่า ขอให้ตั้งสติถึงบทบาทของ ส.ส.ร.ที่ทำให้ถูกกล่าวหาว่า เป็นจงอางหวงไข่ทุกวันนี้ ตอนนี้เลยขั้นตอนที่จะพูดเรื่องการแก้ไขใน 6 ประเด็นแล้ว แต่ควรออกมาให้ความรู้แก่ประชาชนใน 6 ประเด็นและวิธีการแก้ว่าจะแก้อย่างไร อยากถามว่า เราจะไม่สร้างเครือข่ายไว้คอยทำหน้าที่แทน ส.ส.ร.หรือเราจะเป็นคนออกมาตอบโต้เองอย่างนี้หรือ หากเราสร้างเครือข่ายได้ และสร้างความเข้าใจกับประชาชน ประชาชนก็จะลุกขึ้นมาทำหน้าที่แทนเราเอง และการระบุชื่อของบรรดาเจ้าของพรรคตัวจริง อยากถามว่า ระบุแล้วเกิดประโยชน์อะไร อย่าลืมว่าสื่อลงข่าวลำบากเพราะอาจถูกฟ้องฟ้องหมิ่นประมาทได้ ทำให้ น.ต.ประสงค์ ตัดบทว่า วันนี้บ้านเมืองขาดคนกล้าหาญ แค่เรื่องระบุชื่อคนพวกนี้หากเรายังไม่กล้า คนพวกนั้นจะได้ใจ เมื่อเป็นข้อเท็จจริงก็ควรระบุไว้ให้ชัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นชมรม ส.ส.ร.50 ได้ออกคำแถลง โดยระบุว่า 1) ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ยังมิได้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญให้ครบถ้วน เช่น การออกพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ และจัดตั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ แต่กลับสนใจแต่จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตน และพรรคการเมือง 2) การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 122 โดยมีความพยายามของบุคคล ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง ไม่สามารถอาสาทำงานการเมืองได้เป็นเวลา 5 ปี เช่น นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายพินิจ จารุสมบัติ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และ นายไพโรจน์ สุวรรณฉวี เป็นต้น ได้เข้าประชุมตกลงเนื้อหาและวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 4 ต.ค.โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน บรรดา ส.ส.และ ส.ว.ที่ดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าว ย่อมแสดงว่า เป็นผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อาณัติ มอบหมาย หรือครอบงำ อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 มีโทษร้ายแรงว่าจงใจกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ละเว้น หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ถึงขั้นถอดถอนและผิดทางอาญา
3) ส.ส. ส.ว.เหล่านี้เข้าสู่ตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพียง 1 ปีเศษ มุ่งจะแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่เคารพมติของประชาชน เสมือนนักกีฬาที่ไม่ยอมรับผลการแข่งขัน แต่ขอทำประชามติใหม่ มีพฤติกรรมไม่ต่างจากผู้รับเหมาก่อสร้าง ที่ยังทำงานไม่เสร็จแต่ขอแก้แบบก่อสร้างเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง 4) การแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 6 ประเด็น ไม่ได้ช่วยแก้ไขความขัดแย้งและไม่สร้างความสมานฉันท์ แต่เป็นข้ออ้างเพื่อให้ได้ประโยชน์ในการเลือกตั้งใหม่ และทำให้บุคคลผู้ได้รับโทษพ้นความผิด หรือพ้นโทษไป 5) รัฐบาลมิได้ตั้งใจจะเยียวยาบาดแผลของประชาชนที่สูญเสียจากเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ แต่กลับร่วมมือกับนักการเมืองที่เคยมีเจตนาร่วมทำร้าย 6) ชมรม ส.ส.ร.50 ได้ทำหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ