“พัชรวาท” ฟ้องศาลปกครอง ให้เพิกถอนมติ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง เหตุสลายการชุมนุม 7 ต.ค. ระบุถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่งผลให้เสียหายขอให้ชดใช้ 50 ล้าน
วันนี้ (23 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้นายสมบูรณ์ บุญญาภิรมย์ ทนายความยื่นฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อศาลปกครองกลางเพื่อขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยและชี้มูลรวมทั้งมติรับรองคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.กรณีการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่บริเวณหน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 พร้อมกับให้ ป.ป.ช.ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 50 ล้านบาท และขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาโดยให้สั่งระงับการชี้มูลของ ป.ป.ช.ไว้ก่อน จนกว่าศาลฯ จะมีคำพิพากษา
ทั้งนี้ นายสมบูรณ์กล่าวว่า พล.ต.อ.พัชรวาท มองว่าการชี้มูลของ ป.ป.ช.ที่ให้ตนเองมีความผิดวินัยร้ายแรงฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และมีความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นั้นถือว่า เป็นคำวินิจฉัยที่มีอคติ ไม่เป็นกลาง มุ่งแต่ผลที่อยู่นอกเหนือข้อเท็จจริง เพื่อประโยชน์อย่างอื่นที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของกฎหมาย ที่ให้อำนาจทำการไต่สวน โดย ป.ป.ช.เลือกรับฟังความคิดเห็นเฉพาะด้าน กลุ่มผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่พิจารณาพฤติการณ์การกระทำของผู้ชุมนุมว่ามีลักษณะที่จะเป็นอันตรายต่อประชาชน และเป็นความผิดต่อกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งยังไม่พิจารณาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่อย่างไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ศาลปกครองกลางได้เคยมีคำสั่งในคดีที่มีผู้ขอไต่สวนฉุกเฉินแล้วว่า การกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมมีลักษณะที่ไม่ใช่การใช้สิทธิเสรีภาพตามกฎหมาย
นายสมบูรณ์กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา พล.ต.อ.พัชรวาท ได้พยายามชี้แจงข้อเท็จจริงและยื่นพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคลและเอกสารไปแล้ว แต่ ป.ป.ช.ก็ไม่ยอมสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง และมีความรู้ในเรื่องระเบียบแบบแผนการปฏิบัติต่อฝูงชน และผู้ที่มีความรู้ในเรื่องแก๊สน้ำตา อีกทั้งยังเร่งรีบพิจารณาและรวบรัดวินิจฉัยชี้มูลอย่างเห็นได้ชัด ถือว่ามีความผิดสังเกตเพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ พล.ต.อ.พัชรวาท มีความเห็นไม่ตรงกับฝ่ายการเมือง การรีบวินิจฉัยชี้มูลว่า พล.ต.อ.พัชรวาทมีความผิดจึงเป็นเหตุให้ฝ่ายการเมืองใช้เป็นข้ออ้างออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาทไม่สามารถใช้อำนาจในตำแหน่ง ผบ.ตร.ได้
นอกจากนี้ยังพบว่า ในการไต่สวนพิจารณาและการวินิจฉัยยังไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ พล.ต.อ.พัชรวาท จึงเห็นว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากมาตรฐานการพิจารณาวินิจฉัยของ ป.ป.ช. จึงต้องมาขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครอง เพราะการกระทำของ ป.ป.ช.เป็นการใช้อำนาจตามกฎหทมายมากลั่นแกล้งวินิจฉัยชี้มูลโดยปราศจากข้อเท็จจริงที่อ้างเป็นฐานความผิด ซึ่งถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและยังเป็นการละเมิดทางปกครองด้วย