xs
xsm
sm
md
lg

ส.ส.ร.ออกแถลงการณ์ต้านแก้ รธน. ขู่ถอดถอน ส.ส.-ส.ว.ร่วมลงชื่อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เสรี สุวรรณภานนท์
ส.ส.ร.50 ออกแถลงการณ์คัดค้านแก้ไข รธน.6 ประเด็น ขู่ถอดถอน ส.ส.-ส.ว.ที่ร่วมลงชื่อ อาจเจอ 2 เด้ง หาช่องยื่น ป.ป.ช.เล่นงาน ชี้หากถูกชี้มูลต้องยุติปฏิบัติหน้าที่ หมดสิทธิ์โหวต “เสรี” ย้ำยังไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะสม ขณะที่เนื้อหาที่จะแก้ นักการเมืองได้ประโยชน์เต็มๆ ด้าน “เจิมศักดิ์” ซัดนักการเมือง จ้องแก้ รธน.เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ย้ำ รธน.ไม่ได้บกพร่อง ไม่มีความจำเป็นต้องแก้ เชื่อมีนัยแอบแฝง เปิดช่องแก้ มาตราอื่นๆ ตามมาอีก

วันนี้ (14 ก.ย.) อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.50) จำนวน 10 คน นำโดย นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต รองประธาน ส.ส.ร.50 ได้ประชุมหารือถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยที่ประชุมได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงผลการศึกษาของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง และศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงญัตติเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ส.ส. ส.ว.โดยทั้งหมดมีความเห็นตรงกันว่า ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญตอนนี้ เพราะเนื้อหาที่เสนอแก้ไขเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายการเมือง อาทิ การเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว การต่ออายุให้ส.ว.สรรหา จาก 3 ปี เป็น 6 ปี การเข้าไปแทรกแซงข้าราชการประจำ โดยการสั่งการแต่อ้างว่าช่วยเหลือประชาชน รวมถึงประเด็นให้ ส.ส.สามารถเข้าไปเป็นเลขารัฐมนตรีได้

ทั้งนี้ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ส.ร.กล่าวว่า เคยได้รับเลือกจากวุฒิสภาให้ไปร่วมเป็นกรรมการสมานฉันท์ แต่เมื่อเข้าร่วมประชุมแล้วเห็นว่าเหมือนมีข้อสรุปแล้วว่าจะทำเพื่อฝ่ายการเมือง พรรคการเมือง รัฐธรรมนูญฉบับนี้เพิ่งใช้มา 2 ปี ผ่านการบังคับใช้เลือกตั้งแค่ครั้งเดียว ยังไม่เห็นจำเป็นต้องแก้ไข และตามรัฐธรรมนูญมาตรา 244(3) กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ติดตาม ประมวลผล และจัดทำข้อเสนอแนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น ซึ่งยังไม่ทราบว่าผู้ตรวจการแผ่นดินมีการศึกษาประมวลผลหรือยัง ส่วนตัวยังเห็นว่ารัฐธรรมนูญไม่มีข้อบกพร่อง มีแต่นักการเมืองที่ปฏิบัติตามไม่ได้เลยเสนอแก้ไขเพื่อตัวเอง

ดังนั้น ต้องติดตามว่าทำเพื่ออะไร หากพิสูจน์ได้ว่าการเคลื่อนไหวที่ทำกันอยู่นี้ เป็นการทำเพื่อตัวเองก็เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 122 ต้องถูกถอดถอน แต่ ส.ว.ที่ร่วมลงชื่ออาจนึกว่าตัวเองคือผู้มีอำนาจถอดถอน แต่คงลืมนึกไปว่ายังมีช่องอื่นที่ยื่นได้อีก คือ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 275 เกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยนำมาประกอบการพิจารณาร่วมกับมาตรา 122 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เพื่อยื่นต่อป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนได้ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เองก็อ้างมาตรา 190 ซึ่งฟังไม่ขึ้น เพราะจะแก้ปัญหานี้ก็แค่ออกกฎหมายลูกขึ้นมาเท่านั้นก็พอ ดังนั้น จะเห็นว่า ไม่มีพรรคใดทำเพื่อส่วรวม ล้วนแต่ทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง

ด้าน นายเสรีกล่าวเสริมว่า มองดูเนื้อหาที่เสนอแก้ไขแล้ว ไม่มีประเด็นไหนเลยที่ควรจะแก้ เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม มีแต่นักการเมืองได้ประโยชน์ หากใช้รัฐธรรมนูญแล้วพบว่ามีปัญหา ก็ควรเจาะจงไปเฉพาะองค์กรอิสระ หน่วยงาน สถาบันตามรัฐธรรมนูญ ว่าการทำหน้าที่มีการถ่วงดุลคานอำนาจอย่างแท้จริงหรือไม่ ขณะที่ผลสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ และญัตติที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย ซ้ำร้ายยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมมากขึ้น สำหรับ ส.ส. ส.ว.ที่ร่วมลงชื่อหากกระทำเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 122 แล้ว หากมีการยื่นตามช่องทางของ ป.ป.ช.และ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด ส.ว.ที่ถูกชี้มูลจะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันที ไม่สามารถโหวตลงมติช่วยตัวเองได้ ดังนั้น ที่เข้าใจว่า จำนวนเสียงที่จะลงมติถอดถอน คือ 3 ใน 5 ของจำนวนส.ว.ที่เหลืออยู่นั้น คือ เหลือแต่ ส.ว.ที่ไม่ได้ร่วมลงชื่อเท่านั้น หาก ส.ว.ที่ร่วมลงชื่อตระหนักถึงตรงจุดนี้ เขาคงต้องหยุดคิดเหมือนกัน

จากนั้นที่ประชุมได้มีมติให้ทำหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อเร่งรัดขอทราบความชัดเจนภายใน 15 วัน ขณะเดียวกัน ได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมในนาม ชมรม ส.ส.ร.50เรื่องชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เร่งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยมีเนื้อหาพอสรุปได้ว่า 1) การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ก่อความเสียหายร้ายแรงต่อส่วนรวม โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม คดีความที่อยู่ในศาล หลักนิติรัฐ เชื่อว่าหากรัฐธรรมนูญ 2550 ใช้บังคับไประยะหนึ่ง อย่างน้อยก็น่าจะเท่ากับวาระการดำรงตำแหน่งเต็มของ ส.ส.หรือ ส.ว. สังคมจึงจะประเมินได้ถึงผลดี ผลเสียอย่างชัดเจน ขณะนี้รัฐธรรมนูญเพิ่งจะใช้บังคับมาเพียง 2 ปี กำลังทำงานอย่างเต็มที่ แต่ผลประโยชน์ที่ประชาชนพึงได้รับยังไม่บรรลุผลสมบูรณ์ หลายมาตรายังไม่ถูกนำมาสู่การปฏิบัติ จึงไม่เป็นเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญโดยเร็ว 2) การยกเลิกมาตรา 237 วรรคสอง จะยิ่งทำให้การซื้อเสียงรุนแรงขึ้น โดยที่พรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคไม่มีความยำเกรง

3) การยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 265-266 จะเปิดโอกาสให้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้าไปแทรกแซงข้าราชการประจำ ในการบริหารราชการแผ่นดิน เปิดโอกาสทุจริตเชิงนโยบาย ผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะคู่สมรสและบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถเป็นหุ้นส่วนหรือถือครองหุ้นบริษัทธุรกิจต่อไปได้ อาจนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่เอื้อต่อผลประโยชน์ส่วนตัว เปิดช่องให้นักการเมืองเข้าไปดำรงตำแหน่ง หรือแทรกแซงสั่งการหน่วยงานของรัฐ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว 4) การเปลี่ยนแปลงวิธีได้มาซึ่ง ส.ว.โดยกลับไปใช้วิธีเลือกตั้งตามเดิม จะทำให้วุฒิสภากลับไปมีสภาพเป็นสภาทาส หรือสภาผัวเมียเหมือนเดิม 5) การแก้ไขมาตรา 190 ยังมีข้อถกเถียงว่ามีเหตุผลจำเป็นเพียงพอหรือไม่ เพราะบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับว่าทุกเรื่องจะต้องขออนุมัติจากรัฐสภา แต่ให้ออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เพื่อกำหนด จำแนก แยกแยะ ให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ ซึ่งรัฐบาลและรัฐสภาสามารถร่วมกันดำเนินการได้ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงมีประเด็นน่าเคลือบแคลงสงสัย ว่าเป็นเพียงข้อที่ใช้บังหน้า เพื่อเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราอื่นอีก

6) การเสนอแก้มาตรา 237 เป็นการล้มล้างอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้ผู้ต้องคำพิพากษาสามารถอุทธรณ์คดีต่อไปได้อีก หรือข้อเสนอให้นำรัฐธรรมนูญ 40 กลับมาใช้แทนทั้งฉบับ จะทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบยุติธรรมของประเทศอย่างรุนแรง อาจมีผลล้มล้างเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาล ตัดตอนคดีทุจริตโกงกินของนักการเมือง ล้มล้างการทำหน้าที่ของ คตส. ป.ป.ช. กกต.ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมือง และพวกพ้องที่มีคดีทุจริตโกงกินอยู่ ในกระบวนการยุติธรรม ชมรม ส.ส.ร.50 พิจารณาแล้วเห็นว่ามิได้สะท้อนถึงการแก้ไขเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม ไม่สมประโยชน์สาธารณะ แต่ตอกย้ำถึงเจตนาที่จะแก้ไขเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง และพรรคพวก ส.ส.หรือ ส.ว.ที่เข้าร่วม อาจถูกดำเนินการถอดถอนจากตำแหน่ง

“สถานการณ์บ้านเมืองยังคงมีความขัดแย้งรุนแรง ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ยังต้องการเสถียรภาพในประเทศ เพื่อความเชื่อมั่นและการฟื้นตัว ชมรม ส.ส.ร.50 เห็นว่า ควรชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน เพื่อให้ภาคส่วนต่างๆ ในสังคม มีโอกาสแก้ไขปัญหาอันกระทบกับชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน โดยไม่ติดขัดหรือชะงักงันด้วยวิกฤตความขัดแย้งรอบใหม่”
กำลังโหลดความคิดเห็น