นายกฯ ยอมรับสภาพพื้นที่โดยรอบปราสาทถูกรุกล้ำจริง ย้ำจะไม่ยอมเสียอธิปไตยแน่ แต่ยึดหลักเจรจาโดยวิธีสันติก่อน ไม่ขัดข้อง ปชช.ลุกฮือบุกทวงคืนปราสาทพระวิหาร เปิดใจพร้อมหารือแนวทางเรียกร้องอธิปไตยกลับคืบมา
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์"
วันนี้ (9 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวผ่านรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจตัวเลขการว่างงานที่กระเตื้องขึ้น โดยล่าสุดมีรายงานตัวเลขคนว่างงานประมาณ 5 แสนคน ซึ่งถือว่าไม่น่าวิตกเพราะอาจจะอยุ่ในช่วงฤดูกาลสับเปลี่ยนแรงงาน และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีการประชุมครม.เศรษฐกิจ แต่มีการประชุมคณะกรรมการที่ดูแลเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้านแทน ทั้งในเรื่องโครงการการร่วมมือก่อสร้างเส้นทางคมนาคมหรือการลงทุนร่วมเรื่องพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหัวข้อในหารือเหล่านี้จะนำไปหารือในที่ประชุมอาเซียนในช่วงปลายปีนี้ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ยังได้กล่าวถึงปัญหาอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารว่า เกิดขึ้นจากการขึ้นทะเบียนมรดกโลกและการลงนามในแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลในอดีต แต่รัฐบาลนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้นำปัญหาเหล่านี้ติดตามแก้ไขร่วมกับกระทรวงต่างประเทศ ผู้บัญชาการทหารบกและแม่ทัพภาคเป็นระยะๆ แต่ยอมรับสภาพในพื้นที่มีการรุกล้ำพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร โดยมีการสร้างชุมชนทั้งสร้างวัดและตลาดรวมทั้งสร้างที่พักอาศัยร่วมด้วย ซึ่งกองทัพได้ตรึงกำลังตลอดแนว เพื่อมิให้มีการรุกล้ำเข้ามาอีก จนมีกองกำลังทั้งสองฝ่ายเชิญหน้าและสถานการณ์ถือว่าค่อนข้างตึงเครียด แต่รัฐบาลยังยืนยันที่จะยึดหลักสันติวิธีในการเจรจา และไม่ขัดข้องที่พี่น้องประชาชนจากในหลายจังหวัดที่แสดงถึงความหวงแหนอธิปไตยและจะนัดรวมตัวกันไปตรวจสภาพพื้นที่ในวันสุดสัปดาห์หน้า ตนเองในฐานะผู้นำรัฐบาลยินดีที่จะเปิดใจหารือด้วย ถึงแนวทางในการทวงคืนสิทธิโดยใช้หลักสันติวิธี
นายกฯ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมล้อมขบวนรถนายกรัฐมนตรีและคณะ รวมทั้งขว้างปาสิ่งของระหว่างการเดินทางไปบันทึนเทป ในการแจกประกาศนียบัตรในการประกันรายได้ผลิตผลทางการเกษตรที่ ต.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี จริง แต่ไม่มีการกระทบกระทั่งกันหรือรีบยกเลิกการบันทึกเทปและเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที ตามที่ข่าวเสนอไปนั้นไม่เป็นความจริง แผนทั้งหมดเป็นไปตามตารางที่จัดวางไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตระหนักโดยตลอดว่าการชุมชุนหรือดำเนินกิจกรรมใดๆ สามารถทำได้แต่ขอให้อยุ่ภายใต้กรอบกฏหมาย ส่วนข่าวที่ออกไปว่า มีการแวะล้างรถระหว่างการเดินทางกลับนั้นก็ไม่เป็นความจริง แต่ตนอยากจะแวะดื่มกาแฟเพื่อพักผ่อนและเป็นการหาโอกาสพูดคุยกับ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร.ในหลายเรื่องอาทิคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ที่จะต้องดำเนินการต่อตามขั้นตอนของกฏหมายหรือการประชุม ก.ต.ช.เพื่อแต่งตั้ง ผบ.ตร. รวมทั้งการเตรียมรับมือการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 19 ก.ย.นี้ จึงขอร้องสื่อช่วยนำเสนอข่าวตามความเป็นจริง เพื่อก่อให้เกิดบรรยากาศที่ดีต่อบ้านเมืองด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง ถึงปัญหาของประสาทพระวิหารที่ตอนนี้มีกลุ่มคนรวมตัวประท้วงการเข้ามาก่อสร้างใหม่ของทางกัมพูชาในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่วเกรงกันว่าจะเป็นการยอมรับโดยพฤตินัยว่า ไม่ เพราะมันไม่ได้มีการยอมรับอยู่แล้ว ขณะนี้ทางกองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ในขั้นตอนที่จะปรับสภาพพื้นที่ให้เหมือนเดิม แต่เราไม่ต้องการให้มีการสู้รบหรือปะทะ การสูญเสีย ตนจึงบอกว่าใครที่มีความเป็นห่วงเป็นในมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนที่ทำงานได้และต้องระมัดระวัง เพราะการที่เกิดความเข้าใจผิดขึ้นมา ไม่ได้เจตนาหรอก แต่มันเกิดความเข้าใจผิดและเกิดการปะทะกันขึ้นมา จะส่งผลกระทบกว้างขวางไปกว่าเฉพาะตรงนี้ด้วยซ้ำ จะกลายเป็นเรื่องระหว่างประเทศและทำให้การแก้ปัญหาสลับซับซ้อนขึ้น
เมื่อถามว่า การก่อสร้างในพื้นที่ยังเป็นข้อพิพาท นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่หรอก ตอนนี้ไปดูในช่วงที่ผ่านมาตัวชุมชนก็เสียหายเมื่อช่วงเดือนเมษายนอยู่แล้ว ขณะนี้อยู่ในกรอบของการเจรจากันในเรื่องนี้ทั้งหมด ตนได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมา จุดยืนชัดเจนตรงกันและมีการเดินหน้า เมื่อถามว่า คนที่เคลื่อนไหวคัดค้านมีข้อมูลคนที่เข้าไปก่อนสร้างเป็นนายทหารของไทย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า“เอามาให้ผมเลยครับ และจะตรวจสอบ เพราะจุดยืนของรัฐบาลชัดเจนและผมได้คุยกับผู้บัญชาการทหารเป็นระยะๆคุยกับแม่ทัพ กระทรวงการต่างประเทศ นโยบายคงไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามีข้มูลก็เอามา ต้องช่วยกันอย่าให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผมยืนยันว่าจุดยืนที่ผมเคยแสดงไว้เหมือนเดิมทุกอย่าง เราไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง เพราะผมไม่มีประโยชน์อื่นใดเลยนอกจากประโยชน์ส่วนรวมและการรักษาอธิปไตย”
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯยังรู้ไม่เท่าทันกระทรวงการต่างประเทศเหมือนกับที่อีกฝ่ายหนึ่งออกมาตั้งข้อสังเกตุขณะนี้ นาอยภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า ขอให้เอาข้อมูลอีกด้านหนึ่งมาให้ตน หากมีข้อมูลอีกด้านหนึ่งก็ยินดีให้มาพบอยู่แล้วเหมือนกับทุกๆเรื่อง เช่น มาดตาพุทที่ยังมีปัญหาอยู่ก็ให้มาพบได้นัดหมายกันแล้ว เมื่อถามว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หยิบยกกรณีแถลงการณ์ร่วมระหว่งไทยกัมพูชาที่ยกเลิกไปแล้ว แต่นายสนธิมองงอีกมุมว่ากัมพูชาไม่ได้รับรู้ เพราะหนังสือที่ตอบกลับมายืนยันมูลค่าและสิ่งต่างๆที่ตกลงกันยังคงอยู่ ความหมายทางการทูตในลักษณะนั่นถูกบิดเบือนได้หรือเปล่า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนได้อ่านหนังสือทีกัมพูชาตอบมา โดยเขายอมรับว่าได้หนังสือของเราแล้ว ดังนั้นการแสดงเจตนาของเราเขารับทราบ แต่เขาจะเห็นด้วยหรือไม่เป็นประเด็นที่ต้องโต้แย้งกัน แต่ข้อเรียกร้องที่ขอให้รัฐบาลไทยยกเลิกมันก็ยกเลิกไปแล้ว ส่วนทางฝ่ายกัมพูชาที่ตอบมาตนก็อ่านอยู่เขาก็ยอมรับเพียงแค่ว่ามันไม่ใช่เป็นสนธิสัญญา แต่เขาใช้คำว่า “มันเป็นอย่างที่มันเป็น” แต่ในแง่การแสดงเจตนาของไทยเราถือว่ายกเลิกไปแล้วเราได้บอกไปแล้วและเขาได้รับหนังสือที่เราบอกไปแล้ว
เมื่อถามว่าเขายังใช้ประโยชย์จากตรงนี้ได้อยู่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่คิดว่าได้ เพราะขณะนี้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรฯ ติดตามอย่างละเอียดและใกล้ชิด และที่ผ่านมาการดำเนินการใดๆของกัมพูชาตอนนี้ไม่การอ้างอิงถึงแถลงการณ์ตรงนี้ เมื่อถามว่า ตอนนี้นักวิชาการหลายคนออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าในเวปไซด์ของยูเนสโก้มีการระบุพื้นที่บริเวณโดยรอบ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถูกต้องและนี่เป็นสิ่งที่เรากำลังดำเนินการอยู่ นายสุวิทย์ก็ไปดำเนินการหากมีการยื่นเอกสารในลักษณะที่เป็นแผนที่หรืออะไรก็ตามถือว่าควรจะมีการแจ้งให้ทางเราทราบและเราจะดำเนินการให้ข้อเท็จจริงในส่วนของเราไป
เมื่อถามว่า หมายถึงตอนนี้ยังมั่นใจกระบวนการทั้งหมดที่ไทยทำ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราทำเต็มที่ แต่ต้องยอมรับว่ากรรมการมรดกโลกครั้งก่อนเราก็ผิดหวังที่ปีที่แล้วเราไม่สามารถที่จะไปทักท้วงได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจุดยืนในตอนนั้นมันกลับไปกลับมา แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาเราชัดเจนและนายสุวิทย์ก็ทำงานค่อนข้างต่อเนื่อง เมื่อถามย้ำว่า รัฐบาลไทยทำอะไรได้มากกว่าการประท้วง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราทำทั้งเรื่องการประท้วง การเจรจา การตรึงกำลัง จะพยายามทำทุกวิถีทางโดยสันติวิธีเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่การรักษาสิทธิ์ของเรารักษาแน่นอน