เพื่อไทยชี้ รธน.50 เป็นต้นเหตุความแตกแยก ไม่เป็น ปชต. ร้องรัฐบาลเร่งแก้ รธน.ตามข้อเสนอของ คกก.สมานฉันท์ฯ ย้ำผิดหวัง “อภิสิทธิ์-ปชป.” ไม่มีจุดยืนแก้ รธน.แถมยังยื้อเวลาออกไป
วันนี้ (6 ก.ย.) นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้อ่านแถลงการณ์ของพรรคเพื่อสนับสนุนที่ ส.ส. และ ส.ว. ผลักดันแก้รัฐธรรมนูญว่า พรรคเพื่อไทยวิเคราะห์แล้วเห็นว่า ความขัดแย้งที่ร้าวลึกในสังคมไทยส่วนหนึ่งเกิดจากความรับธรรมนูญ ซึ่งหากปล่อยไปสังคมจะยากต่อการเยียวยาให้เกิดความสงบสุขได้อีก จึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะยุติความขัดแย้งความไม่เข้าใจต่างๆ ซึ่งพรรคมั่นใจว่า รัฐธรรมนูญเป็นต้นเหตุหนึ่งของปัญหา เพราะรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย จนเป็นต้นเหตุความแตกแยกสร้างความเสียหายให้ประเทศและทำให้เศรษฐกิจของชาติเสียหาย โดยรัฐธรรมนูญ ปี2550 ขาดความเชื่อมโยง ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับประชาชน ซึ่งพรรคเพื่อไทยพิจารณาโดยรอบคอบถี่ถ้วนแล้วเห็นว่าถึงเวลาที่จะแก้รัฐธรรมนูญ โดยพรรคขอสนับสนุนและแสดงจุดยืนร่วมกับ ส.ส. และ ส.ว. ที่เสนอแก้รัฐธรรมนูญ 6-7 ประเด็นตามที่คณะกรรมารสมานฉันท์ได้สรุปผลศึกษาไว้ ทั้งที่พรรคเพื่อไทยเห็นว่าการแก้รัฐธรรมนูญให้สมบูรณ์ต้องแก้ทั้งฉบับโดยการลงชื่อของ ส.ส. และ ส.ว. ขณะนี้มีชื่ออยู่แล้ว 170 คน โดยพรรคก็มี ส.ส. สนับสนุน 188 คน เมื่อรวมกันจะได้ 355 คน ซึ่งเกินจากเสียง ส.ส. 2 ใน 3 จำนวน 324 คน ดังนั้นเชื่อว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้ ขณะที่หลังจากนี้พรรคจะดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อรณรงค์การแก้รัฐธรรมนูญ
“ พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ให้ปฏิบัติตามผลศึกษาและข้อสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์ทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทย คิดว่านายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่นำพาผลการศึกษาของคณะกรรมการสมานฉันท์ไปปฏิบัติ และพยายามประวิงเวลายืดเยื้อให้ช้าออกไป แต่ส่วนของพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าการสนับสนุนแก้รับธรรมนูญพรรคไม่มีเจตนาแอบแฝงเพื่อประโยชน์อื่นอย่างแน่นอน” นายปลอดประสพ กล่าว
นายปลอดประสพ ยังกล่าวด้วยว่า ในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่มีความจำเป็นต้องเรียกประชุมสภาแต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมาคณะกรรมการสมานฉันท์ ฯ ได้สรุปผลศึกษาการแก้รัฐธรรมนูยไว้แล้ว สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งการเรียกประชุมเป็นเพียงการซื้อเวลาให้ช้าออกไป ส่วนหลังแก้รัฐธรรมนูญเสร็จแล้วจะยุบสภาหรือไม่นั้น ตรงนี้ถือเป็นอำนาจของนายก ฯ ถ้าหากยุบสภา พรรคก็พร้อมเลือกตั้ง ไม่ใช่เพราะกลัวไม่มีทางเลือก แต่พรรคเชื่อในเสียงประชาชนที่เป็นเสียงสวรรค์ว่าจะเลือกใคร เลือกอย่างไร ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรัฐบาล จะกลัวอะไร
ขณะที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค กล่าวว่า ในวันอังคารหน้าที่ การประชุมพรรคจะหารือถึงกิจกรรมรณรงค์แก้รัฐธรรมนูญต่อไป ทั้งนี้ตนเห็นว่าการที่นายอภิสิทธิ์ จะให้มีการอภิปรายทั่วไป ตามมาตรา 179 ในการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ส.ส. และ ส.ว. คงเพราะกลัว และถูกกดดันหลังจากพรรคร่วมรัฐบาลได้ไปกินข้าวกันที่บ้ายนายสุวัจน์ ลิมปตพัลลภ แกนนำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา เมื่อวานที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา และจากการซื้อเวลาแก้รัฐธรรมนูญ ตนจึงขอตั้งสมญานามว่า
“1.รัฐบาลซื้อเวลา ที่ซื้อเวลาการสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง 2.ซื้อเวลาแก้รัฐธรรมนูญ เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญ ปี 2550 ให้ประโยชน์กับพรรคประชาธิปัตย์มากที่สุด 3.ซื้อเวลาตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ 4.ซื้อเวลาการตรวจสอบทุจริตโครงการชุมนุมพอเพียง 5.ซื้อเวลาแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ เคยพูดในการหาเสียงว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะแก้ปัญหาภายใน 3 เดือน 6.ซื้อเวลาเพื่อโฆษณาตัวเอง และ 7.ซื้อเวลาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงขอเรียกร้องว่ารัฐบาลอย่าซื้อเวลาอีกเลย”นายพร้อมพงศ์ กล่าว
วันนี้ (6 ก.ย.) นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้อ่านแถลงการณ์ของพรรคเพื่อสนับสนุนที่ ส.ส. และ ส.ว. ผลักดันแก้รัฐธรรมนูญว่า พรรคเพื่อไทยวิเคราะห์แล้วเห็นว่า ความขัดแย้งที่ร้าวลึกในสังคมไทยส่วนหนึ่งเกิดจากความรับธรรมนูญ ซึ่งหากปล่อยไปสังคมจะยากต่อการเยียวยาให้เกิดความสงบสุขได้อีก จึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะยุติความขัดแย้งความไม่เข้าใจต่างๆ ซึ่งพรรคมั่นใจว่า รัฐธรรมนูญเป็นต้นเหตุหนึ่งของปัญหา เพราะรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย จนเป็นต้นเหตุความแตกแยกสร้างความเสียหายให้ประเทศและทำให้เศรษฐกิจของชาติเสียหาย โดยรัฐธรรมนูญ ปี2550 ขาดความเชื่อมโยง ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับประชาชน ซึ่งพรรคเพื่อไทยพิจารณาโดยรอบคอบถี่ถ้วนแล้วเห็นว่าถึงเวลาที่จะแก้รัฐธรรมนูญ โดยพรรคขอสนับสนุนและแสดงจุดยืนร่วมกับ ส.ส. และ ส.ว. ที่เสนอแก้รัฐธรรมนูญ 6-7 ประเด็นตามที่คณะกรรมารสมานฉันท์ได้สรุปผลศึกษาไว้ ทั้งที่พรรคเพื่อไทยเห็นว่าการแก้รัฐธรรมนูญให้สมบูรณ์ต้องแก้ทั้งฉบับโดยการลงชื่อของ ส.ส. และ ส.ว. ขณะนี้มีชื่ออยู่แล้ว 170 คน โดยพรรคก็มี ส.ส. สนับสนุน 188 คน เมื่อรวมกันจะได้ 355 คน ซึ่งเกินจากเสียง ส.ส. 2 ใน 3 จำนวน 324 คน ดังนั้นเชื่อว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้ ขณะที่หลังจากนี้พรรคจะดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อรณรงค์การแก้รัฐธรรมนูญ
“ พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ให้ปฏิบัติตามผลศึกษาและข้อสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์ทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทย คิดว่านายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่นำพาผลการศึกษาของคณะกรรมการสมานฉันท์ไปปฏิบัติ และพยายามประวิงเวลายืดเยื้อให้ช้าออกไป แต่ส่วนของพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าการสนับสนุนแก้รับธรรมนูญพรรคไม่มีเจตนาแอบแฝงเพื่อประโยชน์อื่นอย่างแน่นอน” นายปลอดประสพ กล่าว
นายปลอดประสพ ยังกล่าวด้วยว่า ในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่มีความจำเป็นต้องเรียกประชุมสภาแต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมาคณะกรรมการสมานฉันท์ ฯ ได้สรุปผลศึกษาการแก้รัฐธรรมนูยไว้แล้ว สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งการเรียกประชุมเป็นเพียงการซื้อเวลาให้ช้าออกไป ส่วนหลังแก้รัฐธรรมนูญเสร็จแล้วจะยุบสภาหรือไม่นั้น ตรงนี้ถือเป็นอำนาจของนายก ฯ ถ้าหากยุบสภา พรรคก็พร้อมเลือกตั้ง ไม่ใช่เพราะกลัวไม่มีทางเลือก แต่พรรคเชื่อในเสียงประชาชนที่เป็นเสียงสวรรค์ว่าจะเลือกใคร เลือกอย่างไร ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรัฐบาล จะกลัวอะไร
ขณะที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค กล่าวว่า ในวันอังคารหน้าที่ การประชุมพรรคจะหารือถึงกิจกรรมรณรงค์แก้รัฐธรรมนูญต่อไป ทั้งนี้ตนเห็นว่าการที่นายอภิสิทธิ์ จะให้มีการอภิปรายทั่วไป ตามมาตรา 179 ในการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ส.ส. และ ส.ว. คงเพราะกลัว และถูกกดดันหลังจากพรรคร่วมรัฐบาลได้ไปกินข้าวกันที่บ้ายนายสุวัจน์ ลิมปตพัลลภ แกนนำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา เมื่อวานที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา และจากการซื้อเวลาแก้รัฐธรรมนูญ ตนจึงขอตั้งสมญานามว่า
“1.รัฐบาลซื้อเวลา ที่ซื้อเวลาการสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง 2.ซื้อเวลาแก้รัฐธรรมนูญ เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญ ปี 2550 ให้ประโยชน์กับพรรคประชาธิปัตย์มากที่สุด 3.ซื้อเวลาตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ 4.ซื้อเวลาการตรวจสอบทุจริตโครงการชุมนุมพอเพียง 5.ซื้อเวลาแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ เคยพูดในการหาเสียงว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะแก้ปัญหาภายใน 3 เดือน 6.ซื้อเวลาเพื่อโฆษณาตัวเอง และ 7.ซื้อเวลาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงขอเรียกร้องว่ารัฐบาลอย่าซื้อเวลาอีกเลย”นายพร้อมพงศ์ กล่าว