xs
xsm
sm
md
lg

“เคาะข่าวริมโขง” เปิดเวทีจวกรัฐเพิกเฉย ปล่อยเขมรฮุบ 4.6 ตร.กม.รอบพระวิหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เคาะข่าวริมโขง “ประพันธ์” โชว์ภาพถ่าย-แฉข้อมูลที่มารีสอร์ตหรูไม้สักทั้งหลังของลูกสาว “พัชรวาท” พบปมซื้อที่ดิน 12 ไร่ ไม่โปร่งใส ด้าน “วีระ” ขึ้นเวทีถกพระวิหาร ย้ำไทยกำลังเสียดินแดน 4.6 ตร.กม.ให้เขมร ชี้จับตารัฐสอดไส้หนังสือข้อตกลงลับเข้าสู่สภา เผย หากผ่านไปได้ไทยเสียผลประโยชน์ขั้นมหาศาล ขณะที่ “อดีตทูตไทย” จี้รัฐแสดงท่าทีแข็งขันขับไล่ทหารเขมร จวกพฤติกรรมเพิกเฉย ถือเป็นการยอมรับเสียอนาธิปไตย

คลิกที่หน้าจอ เพื่อรับชมรายการ


คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เคาะข่าวริมโขง"

รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทางช่องอีสานทีวี-ทีวีเพื่อคนอีสาน วันที่ 31 สิงหาคมนี้ มี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย และนายประพันธ์ คูณมี และ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้มีการหยิบยกประเด็นร้อนแรงและสังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหูอย่างกรณี การร่ำรวยผิดปกติของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.คนปัจจุบัน หรือจะเป็นการร่วมพิสูจน์ความจริงกรณีเสียดินแดน 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทเขาพระวิหาร รวมทั้งปิดท้ายรายการด้วยสรุปประเด็นข่าวที่น่าสนใจวันนี้ กรณีการเข้าจับกุมผู้เผยแพร่คลิปเสียง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และกรณีความคืบหน้าการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่

โดย น.ส.อัญชะลี เริ่มรายการด้วยประเด็นร้อนแรง มีการเปิดเวทีวิเคราะห์ความร่ำรวยผิดปกติของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ซึ่งกรณีนี้ นายประพันธ์กล่าวว่า ทางด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นพี่ชาย พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ออกมาปกป้องน้องชายว่าทำอะไรถึงโดนโจมตีและใส่ร้ายป้ายสี โดยเรื่องนี้ตนขอชี้แจงความผิดของ พล.ต.อ.พัชรวาท เริ่มจากกรณีร่ำรวยผิดปกติ มีการซื้อที่ดินจำนวน 12 ไร่ อยู่บนถนนมอเตอร์เวย์ บางพลีน้อย และยกให้แก่ลูกสาวทั้งสองคน คือ ส.ต.ต.(หญิง) นวพร วงษ์สุวรรณ และ ร.ต.อ.(หญิง) พัชรา วงษ์สุวรรณ ทั้งนี้ ที่ดินแปลงดังกล่าวได้มาอย่างมิชอบ โดยจากการเปิดเผยของภรรยาอดีตเจ้าของที่ดินแปลงนี้ พบว่า สามีเป็นนายตำรวจได้ใช้ที่ดินแปลงดังกล่าวจำนวนหนึ่งเพื่อเอื้อต่อผลประโยชน์ให้การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง จึงได้มีการให้ที่ดินจำนวน 3 ไร่ แก่ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการตำรวจ

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ต่อมาผู้ยิ่งใหญ่ในวงการตำรวจคนดังกล่าวยังไม่พอใจ ใช้ตำแหน่งที่สูงกว่าบีบบังคับให้นายตำรวจขายที่ดินแปลงนี้ที่เหลืออีก 9 ไร่ ในราคาประมาณไร่ละ 1 ล้านบาท ทั้งที่จริงแล้วราคาที่ดินบริเวณนั้นสามารถขายได้ถึงราคา 3 ล้านบาทต่อไร่ ส่วนสิ่งที่น่าสงสัยอันดับต่อมา คือ ที่ดินแปลงนี้ถูกโอนเป็นชื่อของลูกสาว พล.ต.อ.พัชรวาท ทั้งสองคน คือ ส.ต.ต.(หญิง) นวพร วงษ์สุวรรณ และร.ต.อ.(หญิง) พัชรา วงษ์สุวรรณ ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวถูกนำมาจัดสร้างเป็นรีสอร์ตหรู สร้างเรือนไทยด้วยไม้สักทองจำนวน 45 หลัง พร้อมตกแต่งพื้นที่โดยรอบอย่างสวยงาม บนเนื้อที่กว่า 12 ไร่ อีกทั้งยังมีชาวกะเหรี่ยงและเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ดังกล่าว

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ตนอยากตั้งคำถามฝากไปถึง พล.ต.อ.พัชรวาท 2 คำถาม คือ ที่ดินจำนวน 12 ไร่ ที่นำไปสร้างเป็นรีสอร์ตได้มาอย่างไร ซื้อไปด้วยเงินจำนวนเท่าไหร่ และนำเงินมาจากไหน เพราะลำพังเงินเดือนอาชีพตำรวจ เป็นที่ทราบกันดีว่าไม่ได้มากมายถึงขั้นมีเงินมีทองถึงขนาดนั้น 2.ไม้สักทองที่นำมาสร้างบ้านเรือนไทย ซื้อมาจากไหน เนื่องจากไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ไม้สักทองจำนวนมากถึงขั้นสร้างบ้านได้ 45 หลังจะถูกหามาได้ เรื่องนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ต้องชี้แจงถึงที่มาที่ไป หากมีความโปร่งใสจริง เพราะเท่าที่ตนทราบ เมื่อประเมินราคาบ้านและที่ดินแปลงดังกล่าวทั้งหมดแล้ว มีมูลค่าสูงถึง 400 ล้านบาท นับว่ามหาศาลมาก

“ทีกรณีบ้านพักตากอากาศของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.ยังมีคำสั่งให้เข้าตรวจค้นได้ ดังนั้น อยากฝากให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ลองเข้าไปตรวจสอบรีสอร์ทหรู 12 ไร่ของลูกสาว พล.ต.อ.พัชรวาท ว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร เหตุใด พล.ต.อ.พัชรวาท จึงได้ที่ดินแปลงดังกล่าว มามอบให้แก่ลูกสาว อยากให้อธิบายที่มาให้ประชาชนได้ทราบ” นายประพันธ์ กล่าว

นายชัชวาลย์กล่าวเสริมประเด็นนี้ว่า ทั้งหมดนี้คือคำตอบที่ พล.อ.ประวิตร ถามว่า “น้องชายผมทำผิดอะไร” การได้ที่ดินจำนวน 12 ไร่ อย่างไม่ชอบธรรม และมีเงินมีทองถึงขนาดสร้างบ้าน 45 หลังด้วยไม้สักทองได้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา นอกจากนี้ เรื่องดังกล่าวควรนำไปถาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ด้วยว่า พล.ต.อ.พัชรวาท ร่ำรวยมาได้อย่างไร เนื่องจากที่ผ่านมาเท่าที่ตนเห็น นายสุเทพมีพฤติกรรมปกป้อง พล.ต.อ.พัชรวาท มาโดยตลอด

น.ส.อัญชะลี กล่าวปิดท้ายช่วงนี้ว่า ถ้าหากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังนิ่งเฉยกับเรื่องนี้ ไม่ยอมติดตามหรือตรวจสอบความร่ำรวยผิดปกติของ พล.ต.อ.พัชรวาท ทางนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน อาจจะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป

ต่อมาในช่วงสนทนาได้มีการเชิญแขกรับเชิญมาร่วมพูดคุย โดยวันนี้มีการหยิบยกกรณีการเสียดินแดน 4.6 ตร.กม.ให้แก่กัมพูชา ซึ่งมี นายวีระ สมความคิด ในฐานะแกนนำภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหาร และศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทย มาร่วมตีแผ่ความจริงที่เกิดขึ้น

นายวีระกล่าวว่า เมื่อปี 2505 ไทยเสียปราสาทเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชาไปแล้ว ตอนนี้กำลังจะเสียดินแดน 4.6 ตร.กม.ไปอีก เพราะขณะนี้ บริเวณพื้นที่โดยรอบปราสาทเขาพระวิหาร เต็มไปด้วยทหารและกัมพูชา ที่มาตั้งค่ายทหาร ตั้งหมู่บ้าน สร้างวัด ในพื้นที่ของไทย

ศ.ดร.สมปอง กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เรื่องของดินแดนถ้าหากยังมีข้อกรณีพิพาทระหว่างประเทศอยู่ ไทยสมควรจะแสดงท่าทีที่ชัดเจนในการคัดค้านการกระทำหรือขับไล่ผู้บุกรุกออกจากดินแดนของตัวเอง เพราะไม่เช่นนั้น จะถือเป็นการยอมรับในการลุกล้ำของอีกประเทศ และจะนำไปสู่การเสียสิทธิอำนาจอธิปไตยในที่สุด

นายวีระกล่าวเสริมว่า ไทยอนุญาติให้กัมพูชาเข้าไปตั้งรกรากบนดินแดน 4.6 ตร.กม. จนกลายเป็นว่า ขณะนี้หากทหารไทยจะเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวต้องมีการปลดอาวุธ ทั้งๆที่เป็นพื้นทื่ของไทยเอง โดยเท่าที่ทราบมา ไทยยอมและปล่อยปละละเลยถึงขนาดให้กัมพูชาปักธงชาติในบริเวณดังกล่าวตั้งแต่เมื่อปี 2546 ซึ่งตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่

ศ.ดร.สมปอง กล่าวว่า เรื่องการเสียดินแดนไม่ใช่จินตนาการ เพราะถ้าหากใครไม่รู้ข้อมูล ก็จะไม่เข้าใจและนำไปสู่การเสียผลประโยชน์ของประเทศ เนื่องจากการเพิกเฉยถือเป็นการยอมรับข้อตกลงต่างๆ ยินยอมให้อีกฝ่ายมารุกล้ำประเทศตัวเอง โดยไม่ได้ทำอะไร ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ รับรู้เรื่องราวดังกล่าวมาตลอดว่าเป็นเช่นไร แต่ทำไมถึงไม่ดำเนินการแนวทางหน้าที่ของตนเอง ทำไมปล่อยให้กัมพูชารุกเข้ามาในดินแดนประเทศตน ซึ่งการที่เรื่องนี้ มาปะทุขึ้นอีกครั้ง มีเหตุผลมาจากการที่ กัมพูชา ไม่สามารถเข้าไปทำประโยชน์อะไรหลังจากที่ศาลโลกมีคำตัดสินยกปราสาทเขาพระวิหารเป็นสิทธิของกัมพูชา จึงทำให้กัมพูชาต้องเร่งดำเนินการยื่นขอปราสาทเขาพระวิหารให้เป็นมรดกโลก โดยคิดจะฮุบดินแดน 4.6 ตร.กม.ไปด้วย

นายวีระกล่าวว่า ตอนนี้สิ่งที่น่าจับตามองมากที่สุด คือ การที่รัฐบาลจะสอดไส้หนังสือข้อตกลงลับระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาในเร็วๆนี้ โดยหนังสือข้อตกลงลับดังกล่าว ไม่มีความชัดเจนด้านเอกสาร มีการพรางสายตาว่าเป็นวาระการประชุมธรรมดา ทั้งที่จริงๆ แล้วถือเป็นหนังสือข้อตกลงผลประโยชน์ระหว่างประเทศ ซึ่งอาจมีผลเสียทำให้ไทยต้องเสียค่าโง่ครั้งใหญ่ด้วยการเสียอำนาจอธิปไตยอีกครั้ง ทั้งนี้ หนังสือข้อตกลงลับนี้ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทราบรายละเอียดเรื่องนี้ดี โดยหลังจากที่ประชุมสภาเห็นชอบหนังสือข้อตกลงดังกล่าว จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี และดัน นายกษิต ขึ้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีควบไปกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้เท่าเทียมกับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีของฝ่ายกัมพูชาที่จะเป็นตัวแทนเซ็นหนังสือข้อตกลงลับดังกล่าว ดังนั้น จะเห็นว่าทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เหลือแค่ผ่านการพิจารณาของที่ประชุมสภาเพียงอย่างเดียว

ศ.ดร.สมปอง กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ต้องยอมรับว่าไทยเสียเปรียบหลายด้าน เพราะปล่อยให้ทหารและประชาชนกัมพูชาเข้าไปยึดครองพื้นที่ดังกล่าว โดยสิ่งที่ตั้งตารอขณะนี้ คือ หากหนังสือข้อตกลงลับเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาเมื่อไหร่ คงต้องฝากความหวังไว้กับบรรดา ส.ส. และ ส.ว.ทั้งหลาย ให้รู้เท่าทันรายละเอียดของหนังสือข้อตกลงลับนี้ เพราะจะทำให้ไทยเสียผลประโยชน์ของประเทศทุกประตู

นายวีระกล่าวด้วยว่า เหตุที่รัฐบาลไม่กล้าขัดแย้งหรือแข็งกร้าวกับกัมพูชา เนื่องจากไม่อยากมีปัญหาด้วยตอนนี้ เพราะขณะนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลกำลังโดนหลายปัญหารุมเร้าอย่างหนักหน่วง ดังนั้น จึงพยายามปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ไม่กล้าตอแยกับเขมร แต่สิ่งที่ทำ มันเป็นการยอมรับว่ายินยอมเสียดินแดน ซึ่งประเทศอื่นๆ เขาไม่ทำเช่นนี้เด็ดขาด รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้กับประเทศและกับประชาชน

นายชัชวาลย์กล่าวพร้อมตั้งข้อสงสัยว่า ประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร ตนตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมกลุ่มคนเสื้อแดงจึงไม่หยิบยกกรณีนี้ขึ้นมาโจมตีรัฐบาลและนายกษิต ซึ่งคำตอบง่ายๆ คือ กลุ่มคนเสื้อแดงรู้ดีว่าใครทำให้ไทยเสียปราสาทเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสมัยพ่อคนเสื้อแดงอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีนั่นเอง

นายวีระกล่าวว่า หนทางการแก้ไขปัญหานี้ ขั้นแรกรัฐบาลไทยต้องชัดเจน แสดงท่าทีที่แข็งขันในการคัดค้านและขับไล่ทหารกัมพูชาให้พ้นดินแดนของไทย แม้จะต้องขู่ด้วยการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพ หากจำเป็นก็ต้องทำ เนื่องจาก ในความเป็นจริงแล้ว กองทัพไทยก็ไม่ใช่ย่อย ไม่ได้เป็นรองกัมพูชาแต่อย่างใด ดังนั้น รัฐบาลไทยต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยความเด็ดขาด ให้เหมือนสมัยที่เป็นฝ่ายค้านและไปอภิปรายในสภาเรียกร้องให้รัฐบาลขณะนั้น ทวงคืนปราสาทเขาพระวิหาร ทั้งนี้ เมื่อ นายอภิสิทธิ์ ได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องจัดการเรื่องนี้อย่างที่พูดไว้

ช่วงต่อมาเป็นช่วงคุยข่าว โดยนำประเด็นข่าวที่น่าสนใจวันนี้ มาพูดคุยให้พี่น้องชาวอีสานฟัง ซึ่งหยิบยกกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังไปตรวจค้น บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้ นายประพันธ์กล่าวต่อกรณีนี้ว่า จากการตรวจค้นบริษัทดังกล่าวสามารถรวบตัวคนร้ายได้ 2 คน พร้อมหลักฐานคือซีดีคลิปเสียงตัดต่อนายอภิสิทธิ์ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้มีการตรวจสอบข้อมูลการฟอร์เวิร์ดอีเมล ปรากฏว่าหนึ่งในนั้นมีชื่อ นางฐิติมา ฉายแสง น้องสาวนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยด้วย

นายประพันธ์กล่าวต่อประเด็นนี้ว่า สาเหตุที่มีคนพูดกันว่าคลิปนี้จะนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทย ตนเห็นด้วย เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมืองลิ้วล้อ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนใหญ่จะถูกยุบเนื่องจากการตัดต่อ อย่างกรณีคลิปเสียงที่ตัดต่อว่าเป็นของ นายอภิสิทธิ์ เรื่องนี้ก็ชี้ชัดความผิด ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่หวังดีต่ออีกฝ่าย ดังนั้น ถ้าหากมีการดำเนินเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็สามารถเอาผิดถึงขั้นยุบพรรคได้

กรณีต่อมาที่ถูกหยิบยก คือ ความเคลื่อนไหวการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่ามีรายชื่อในดวงใจแล้ว โดยประเด็นนี้ น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า หากให้ตนเองเดาใจนายอภิสิทธิ์ ตนว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ มีความเหมาะสมมากที่สุดในการดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. เพราะมีคุณสมบัติดีเด่นในทุกๆด้าน ซึ่งจากการที่พรรคภูมิใจไทยมีการตั้งความหวังจะดัน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ตนรู้สึกไม่เห็นด้วย เนื่องจากไม่ไว้ใจ เพราะ พล.ต.อ.จุมพล มีความสนิทชิดเชื้อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาก ส่วนกรณีพล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน อดีตภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยิ่งแล้วใหญ่ เนื่องจากมีพฤติกรรมเพิกเฉยต่อการโกงกินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น จึงเห็นว่า พล.ต.อ.ปทีป เหมาะสมที่สุด

นายชัชวาลย์ตั้งข้อสงสัยปิดท้ายรายการว่า ตนสงสัยมาตลอดว่าทำไม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี จึงพยายามดัน พล.ต.อ.จุมพล ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ทั้งที่มีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องนี้ทั้งสองคนต้องตอบคำถาม ทั้งที่เรื่องนี้เป็นอำนาจนายอภิสิทธิ์ ทำไมไม่เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจเอง เรื่องนี้เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ
กำลังโหลดความคิดเห็น