xs
xsm
sm
md
lg

“เสรีพิศุทธ์” จี้ย้าย “ป๊อด” เข้ากรุ-ขีดเส้น 7 วันฟ้อง “มาร์ค” ฐานละเว้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
“เสรีพิศุทธ์” จี้ ย้าย “บิ๊กป๊อด” เข้ากรุทำเนียบ หลังกฤษฎีกาให้นายกฯ ตั้ง กก.สืบสวนข้อเท็จจริงทุจริตงบ สตช.18 ล้าน ระบุ กฤษฎีกายังพยายามช่วย “บิ๊กป๊อด” ตีความจะให้สอบข้อเท็จจริงใหม่ แทนที่จะให้สอบวินัยร้ายแรง ขีดเส้นไม่มีคำสั่งภายในสัปดาห์นี้ ฟ้อง 157 เอาผิด “มาร์ค” ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

วันที่ 24 ส.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณี นายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำความเห็นเสนอต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.มิได้กระทำความผิดวินัยตามที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.กล่าวหา และสมควรให้ยุติเรื่องนั้น ปรากฏว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบข้อหารือในประเด็นดังกล่าวไปยัง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีแล้วว่า รายงานสรุปข้อเท็จจริงของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เป็นเพียงการสรุปข้อเท็จจริง และความเห็นรายงานต่อรองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น นายกรัฐมนตรี หรือผู้ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้รับผิดชอบกำกับการบริหารราชการ และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี สำหรับราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงไม่อาจถือเอาความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นที่ยุติได้

ส่วนการที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร.(ในขณะนั้น) สั่งการให้ พล.ต.ท.ทวีพร นามเสถียร ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องและสรุปความเห็นเสนอเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป ภายหลังจากที่บริษัทผลิตรายการที่มีคุณภาพและถูกสกัดกั้นไม่ให้เสนอราคา มีหนังสือร้องเรียนถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังมิใช่การดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงตามมาตรา 84 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ และมิใช่การสั่งให้ผู้ใดดำเนินการสืบสวนข้อ 6 แห่งกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2547 ด้วย เนื่องจากมิได้มีการแจ้งเรื่องที่ถูกกล่าวหา หรือถูกร้องเรียนให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ และให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงภายในเวลาที่กำหนด โดยในการสั่งการก็มิได้ระบุให้ดำเนินการสืบสวน แต่เป็นการสั่งให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ดังนั้น การสั่งการของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จึงเป็นการใช้อำนาจสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาเบื้องต้นของตนตามมาตรา 84 อย่างไรก็ดี เมื่อได้รับรายงานจาก พล.ต.ท.ทวีพร แล้ว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มิได้มีการสั่งการอย่างใด จนกระทั่งตนเองได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการทางวินัยของ พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏในเวลาต่อมาว่า นายกรัฐมนตรี (สมชาย วงศ์สวัสดิ์) ได้มีคำสั่งเห็นชอบตามที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง พล.ต.อ.พัชรวาทและข้าราชการคนอื่นที่ถูกกล่าวหาตามระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงถือได้ว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาได้พิจารณาแล้วใช้อำนาจตามหน้าที่ เพื่อดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงตามมาตรา 84 โดยให้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2547 แต่โดยที่นายกรัฐมนตรี (นายสมชาย) ได้พ้นจากตำแหน่งก่อนที่จะได้ลงนามในคำสั่ง จึงมีผลทำให้การดำเนินการค้างพิจารณาอยู่ที่ขั้นตอนดังกล่าว

ในประเด็นนี้คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า การดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีข้าราชการตำรวจถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของผู้บังคับบัญชาของข้าราชการตำรวจที่ถูกกล่าวหา ฉะนั้นแม้ว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ก่อนลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวน แต่เนื่องจากเรื่องนี้ยังมีข้อกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจผู้นี้กระทำผิดวินัย นายกรัฐมนตรีหรือผู้ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้รับผิดชอบกำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี สำหรับราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเวลาต่อมา จึงยังคงมีหน้าที่ตามมาตรา 84 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ที่จะต้องดำเนินการต่อไป โดยการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ค้างพิจารณาอยู่ แต่ถ้าหากมีการพิจารณาในเบื้องต้นแล้วมีความเห็นแตกต่างจากการดำเนินการที่ค้างพิจารณาอยู่ และจะไม่ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ย่อมอยู่ในความรับผิดชอบของผู้มีอำนาจสั่งการที่จะพิจารณาตามที่เห็นควร

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แจ้งว่า นอกจากทางกฤษฎีกาจะทำหนังสือถึงนายสุเทพแล้ว ยังได้สำเนาความเห็นดังกล่าวส่งให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบอย่างไม่เป็นทางการแล้ว ซึ่งจะเป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีว่าจะพิจารณาตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงหรือไม่ ทั้งนี้ หากตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาจะมีการย้ายข้าราชการที่เกี่ยวข้องออกจากสังกัด เพื่อเปิดทางให้การสืบสวนข้อเท็จจริงเดินหน้าได้อย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในกรณีที่บุคคลที่ถูกตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงาน เพราะหากไม่มีการย้ายออกจากตำแหน่งอาจจะทำให้การสืบสวนข้อเท็จจริงถูกแทรกแซงได้ และคณะกรรมการก็จะไม่สามารถแสวงหาข้อเท็จจริงได้

สำหรับกรณีนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้กล่าวหาว่า พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ในกรณีการดำเนินการจัดจ้างโฆษณาและเผยแพร่รายการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเงิน 18,697,500 บาท จากงบประมาณปี 2548 โดยมีเจตนาเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เอ็น เอส มีเดีย แอสโซซิเอทส์ จำกัด และเป็นการกระทำที่กีดกันผู้เสนอราคารายอื่น ไม่ให้สามารถเข้ามาเสนอราคา หรือแข่งขันราคาได้อย่างเป็นธรรม ซึ่ง สตช.ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนพบว่ามีความผิดจริง และเตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถูกย้ายออกจากตำแหน่งเสียก่อน และหลังจากนั้น ได้ตามทวงถามความคืบหน้าหลายครั้ง จนมาถึงรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายสมชาย จึงมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร.และเตรียมจะตั้งกรรมการสอบสวน แต่ นายสมชาย พ้นจากตำแหน่งเสียก่อน และ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาการนายกฯ ขณะนั้นได้ย้าย พล.ต.อ.พัชรวาท กลับมาเป็น ผบ.ตร.ตามเดิม

ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.ซึ่งเป็นผู้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว และสรุปว่า พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.บุญเรือง กระทำผิดวินัยร้ายแรง วิจารณ์ความเห็นของกฤษฎีกาอย่างรุนแรง ว่า เป็นเพียงความพยายามที่จะช่วยให้ พล.ต.อ.พัชรวาท พ้นผิด เพราะการที่ระบุว่า ตนไม่ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงตามมาตรา 84 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ แสดงว่า กฤษฎีกาดูกฎหมายไม่ครบ เนื่องจากกฎหมาย ระบุว่า เมื่อมีการกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจผู้ใดกระทำความผิดวินัยให้ผู้บังคับบัญชารีบดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริง หรือพิจารณาในเบื้องต้นว่า กรณีมีมูลที่กล่าวหาว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยหรือไม่ โดยสิ่งที่ตนดำเนินการไป คือ พิจารณาเบื้องต้นตามกฎหมาย และพบว่า มีการกระทำผิดวินัยร้ายแรง ดังนั้นขั้นตอนต่อไป คือ นายกรัฐมนตรีต้องมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ไม่ใช่ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง

“กฤษฎีกาเป็นเทวดาหรืออย่างไร จึงตีความเพื่อช่วยคนผิดเช่นนี้ หรืออยากจะไปเจอกันในชั้นศาล คดีนี้ยื้อเวลากันมา 2 ปีแล้ว ถือว่าพยายามช่วยเหลือกัน ผมสอบถามไปถึง 5 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการ ทั้งที่กรณีของผม นายสมัคร ตั้งกรรมการสอบภายในวันเดียว ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน มีมาตรฐานในการบังคับใช้กฎหมายหรือไม่ ผมจะให้เวลานายกฯ ภายในสัปดาห์นี้ ถ้านายกรัฐมนตรีไม่ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง และให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ผมจะฟ้องนายกฯ ในข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามกฎหมายอาญามาตรา 157 คนเป็นนายกรัฐมนตรีถูกผู้ใต้บังคับบัญชาอย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท ตีแสกหน้ากลางที่ประชุม ก.ต.ช.ด้วยการโหวตค้านชื่อคนที่นายกฯ เสนอเป็น ผบ.ตร.ไม่อายหรือ ผมพูดอย่างนี้ไม่ใช่ให้นายกฯ อาฆาต หรือแก้แค้นใคร แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาทำอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ถือว่าไม่เห็นหัวนายกฯ หรือว่านายกฯ มีหัวไว้ตั้งบนบ่าเท่านั้นไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะสิ่งที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ทำเหมือนท้าทายว่า แน่จริงมึงย้ายกู นายกฯ ถูกเย้ยอย่างนี้ ต่อไปความเป็นผู้นำก็ไม่มีความหมายและไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

อดีต ผบ.ตร.กล่าวต่อว่าว่า ถ้ายังปล่อยให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ดำรงตำแหน่งต่อไป ก็จะทำให้การสืบสวนข้อเท็จจริงกระทำไม่ได้ เพราะอาจอาจจะมีการเผาเอกสาร ทำลายหลักฐาน ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้
พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
กำลังโหลดความคิดเห็น