เรื่องมันฟ้อง โดย กรงเล็บ
ความฟอนเฟะที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ขณะนี้ จากปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ที่ฝังรากมาตั้งแต่ปี 2551 เริ่มส่งกลิ่นเหม็น
โฉ่ออกมาจนฉาวไปทั้งเมือง
แต่ “หน้าห้อง” ที่เปรียบเสมือนหลังบ้านของใครบางคน ก็มิได้นำพาต่อเสียงท้วงติงใดๆ ทั้งสิ้น กลับใช้วิธี “นอนกระซิบ” เป่าหูให้สู้สุดชีวิต
เพื่อจัดทำ“โผเล็ก” หรือ “โผนายพัน” ต่อไป
ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นตัวอยู่ไกลถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วยังหนีบเอาฝ่ายกำลังพลไปนั่งทำโผกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต
ขณะที่วางเครือข่ายใน สตช.อย่างแน่นหนา คุมเชิงไม่ให้ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ขณะนั้น จัดทำโผนายพัน จึงทำได้แค่เพียงตั้ง “พล.ต.อ.ปทีป ตันสุวรรณ” เป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบคุณสมบัติตำรวจที่ต้องยกเว้นระเบียบ กตร. เท่านั้น
แต่คณะกรรมการชุดนี้ก็เป็นหมัน
ไม่อาจคลอดสิ่งใดที่จะเกี่ยวเนื่องไปถึงการจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ระดับรองผู้บังคับการ– สารวัตร ได้
เพราะตดยังไม่ทันหายเหม็น คนอยู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็บินกลับมากรุงเทพฯเสียแล้ว อำนาจรอบสองของ “พล.ต.อ.วิเชียร” จึงมลายหายไปทันที
แถมกลับมาคราวนี้ประกาศเสียงดังฟังชัดกับคนใกล้ตัวว่า จะปักหลักสู้กับ“คนบนตึกไทยคู่ฟ้า” ให้ถึงที่สุด
ไม่มีการลาไปยุโรปอย่างที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ และยังเตรียมทนายความไว้ต่อสู้ทางกฎหมาย หากมีคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย โดยมั่นใจสุดๆ ว่าจะนอนกอดตำแหน่ง “ผบ.ตร.”ไปได้จนถึงสิ้นเดือนกันยายน
เป็นความเชื่อบนพื้นฐานที่ไม่เคยตระหนักว่า กรรมกำลังไล่ล่าตัวเอง แบบที่เรียกว่าเข้าใกล้จนยิ่งกว่าหายใจรดต้นคอ
เพราะกรรมเก่าที่เป็นผลผลิตจากการฉ้อฉลในการร่วมกับ “หน้าห้อง” ว่าจ้างบริษัท เอ็น เอส มีเดีย แอสโซซิเอทส์ จำกัด ทำการโฆษณาและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำนวนเงิน 18,697,500 บาท โดยไม่สุจริตและยุติธรรม
ซึ่งทาง สตช.ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า มีมูลในการกระทำผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
จนเป็นเหตุให้ “พล.ต.อ.พัชรวาท” กระเด้งกระดอนจากตำแหน่งมาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนจะหวนคืนสู่อำนาจด้วยวิธีพิเศษของ “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นอย่างมีเงื่อนงำ
แม้ว่าเรื่องนี้ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” จะสมรู้ร่วมคิด ไม่ยอมตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงตามที่มีการตั้งเรื่องเอาไว้ตั้งแต่ปลายยุค “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เป็นนายกรัฐมนตรี โดยโยนเรื่องให้กฤษฎีกาตีความว่า
การที่นายนที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอให้ยุติเรื่องการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง พล.ต.อ.พัชรวาท กับนายตำรวจที่เกี่ยวข้องอีกสองคน สามารถดำเนินการได้หรือไม่นั้น ขณะนี้กฤษฎีกาได้เคาะเรื่องออกมาแล้ว
แว่วมาว่า เนื้อหาที่กฤษฎีกาจะตอบถึงคนชื่อ “สุเทพ” คือ ข้อเสนอของ “นที” เป็นเพียงความเห็นของข้าราชการคนหนึ่ง ที่มิอาจลบล้างอำนาจนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้นคือ สมชาย) ที่ให้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีนี้ได้
และที่สำคัญจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงก่อนที่ พล.ต.อ.พัชรวาท จะเกษียณอายุราชการ !!!
ผลจากเรื่องนี้คงเป็นเหตุอันชอบธรรมที่ “พล.ต.อ.พัชรวาท” จะต้องพ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร.จริงๆ ไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาลเสียที หลังเฉียดไปเฉียดมา ด้วยการลาชั่วคราวถึงสองครั้งสองครา
เรื่องมันฟ้องอย่างนี้ “บิ๊กป้อม” คงไม่มีคำถามคาใจอีกแล้วว่า “น้องผมผิดอะไร”