xs
xsm
sm
md
lg

คดี วิคเตอร์ บูท ไทยตกอยู่ในหว่างเขาควายพญาอินทรี - หมีขาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
โดย โชกุน


วันนี้แล้ว ที่จะครบกำหนด 72 ชั่วโมงที่ พนักงานอัยการจะต้องยื่นอุทธรณ์ คดีขอส่งตัววิคเตอร์ บูท ไปดำเนินคดีที่สหรัฐอเมริกา หลังจากที่ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้อง เมื่อวันที 11 สิงหาคม และให้ปล่อยตัวนายบูท ภายใน 72 ชั่วโมง

หากอัยการไม่ยื่นอุทธรณ์ บูทก็จะเป็นอิสระ ได้กลับไปอยู่กับลูกเมียที่มอสโคว์ แต่ถ้ามีการอุทธรณ์ เขาจะต้องพำนักอยู่ที่ “แบงกอก - ฮิลตัน” หรือ เรือนจำกลางคลองเปรมต่อไป หลังจากถูกจองจำอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่า สหรัฐฯ จะยื่นอุทธรณ์ ซึ่งจะต้องให้กระทรวงการต่างประเทศของไทย เป็นผู้แทนยื่นเรื่องผ่านอัยการ

วิคเตอร์ บูท มีสมญานามว่า “พ่อค้าขายความตาย” หรือ Merchant of Death เพราะถูกกล่าวหาจากองค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกาและยุโรปว่า เขาเป็นผู้ขายอาวุธสงครามรายใหญ่ที่สุดของโลก ที่ขายอาวุธให้กับ “ลูกค้า” ที่เป็นกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอาฟกานีสถาน โคลัมเบียหรือเลบานอน และขายอาวุธให้กับประเทศในอาฟริกาหลายประเทศ เช่น เซียร่า เลโอน ไลบีเรีย ซูดาน คองโก ระวันดา ฯลฯ ซึ่งอาวุธเหล่านี้ ถูกนำไปใช้ประหัตประหารกันในสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

บูทเคยเป็นเคจีบี มาก่อน หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย เขาซื้อเครื่องบินแอนโตนอฟ- 8 สี่ลำ จากกองทัพ มาดัดแปลงเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าทางอากาศ และตั้งบริษัท Aircess ขึ้น โดยมาสำนักงานใหญ่อยู่ที่ สหรัฐอาหรับอามิเรตส์ หรือ ยู.เอ.อี

ลูกค้าของบูทนั้นไม่ธรรมดา องค์การสหประชาชาติ ซึ่งขึ้นบัญชีบูท เป็นบุคคลอันตราย และต้องห้ามเดินทางระหว่างประเทศ ใช้บริการของ Aircess อยู่บ่อยๆ ในการเดินทางของเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาสันติภาพ การขนส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์

รัฐบาลสหรัฐฯ เองก็เคยใช้เครื่องบินแอนโตนอฟของเขา ขนทหารและยุทโธปกรณ์ ในช่วงสงครามบุกอิรัก รวมทั้งบริษัทฮาลิเบอร์ตัน ที่นายดิก เชนีย์ อดีตรองประธานาธิบดีสมัยจอร์ช ดับเบิลยู. บุช เคยเป็นผู้บริหารอยู่ ก็เป็นลูกค้ารายหนึ่งด้วย

บริการขนส่งทางอากาศของบูทเหนือกว่า เฟดเด็กซ์ , ดีเอชแอล หรือยูพีเอส ตรงที่ต้นทุนต่ำกว่า ไม่มีข้อจำกัดว่าห้ามขนสินค้าประเภทไหน และส่งถึงทุกที่ ที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะทุรกันดาร และเสี่ยงภัยแค่ไหน

บูทถูกกล่าวหาว่า นอกจากจะรับจ้างขนสินค้าแล้ว ยังรับจัดหาสินค้าคือ อาวุธสงครามด้วย นั่นเป็นที่มาของสมญานาม พ่อค้าขายความตาย และถูกล่าตัวจากรัฐบาลสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรป

เรื่องราวของเขาถูกฮอลลีวู้ด นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ Lord of War ซึ่งนิโคลัส เคจ รับบทเป็นพ่อค้าอาวุธสงคราม ชื่อ ยูริ โอลอฟ ออกฉายเมื่อปี 2005

ในเว็บไซต์ victorbout.com บูทระบุว่า เขาถูกใส่ร้ายจากคู่แข่งในธุรกิจขนส่งทางอากาศซึ่งไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้ เขาบอกว่า ไม่ได้เป็นเคจีบี แต่รับราชการในกองทัก ในฐานะล่าม และการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่อาฟริกา เพราะแองโกลา เป็นประเทศเดียวที่ยอมออกใบอนุญาตการบินพาณิชย์ให้กับเครื่องบินของเขาซึ่งเป็นเครื่องบินทหาร

บูทถูกจับที่โรงแรมโซฟีเทล สีลม เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปีที่แล้ว โดยถูกเจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพย์ติดของ สหรัฐฯ หรือ DEA ส่งสายลับ 2 คนอ้างตัวว่า เป็นสมาชิกขบวนการ FARC ในโคลอมเบีย ซึ่งหาเงินจากการขายโคเคน แล้วเอาเงินไปซื้ออาวุธ ต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบีย และโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ไปล่อซื้ออาวุธจากบูท

การติดต่อนี้ทำกันมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2007 ผ่านทางโทรศัพท์ สายลับทั้งสอง พยายามล่อให้บูทออกจากมอสโคว์มาพบกัน เพราะตั้งแต่สหประชาชาติเผยแพร่รายงานเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2000 ที่ระบุว่า เขาคือ ผู้ค้าอาวุธรายใหญ่ของโลก และขึ้นบัญชีเป็นผู้ต้องห้ามในการเดินทางข้ามประเทศ บูทก็ระมัดระวังตัว ไม่เดินทางไปไหน ใช้ชีวิตอยู่ในในรัสเซีย แต่คราวนี้ น่าแปลก ที่เขายอมเดินทางมาพบสายลับทั้ง 2 คนที่กรุงเทพ จนถูกจับตัวในที่สุด

ในเอกสารที่อัยการสหรัฐฯยื่นฟ้องต่อ ศาล Southern District of New York หลังบูทถูกจับ ระบุว่า ในระหว่างการพบกับสายลับ DEA ที่ปลอมตัวเป็นสมาชิก FARC เป็นเวลา 2 ชั่วโมง บูทบอกกับสายลับทั้งสองว่า จะขายจรวดแซมให้ 700-800 ลูก กระสุนปืนอีกนับล้านๆนัด ปืน อาก้า -47 เครื่องบินขนส่ง 2 ลำ และเครื่องบินที่บังคับด้วยคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องใช้นักบิน เพื่อทิ้งระเบิดทำลายสถานีเรดาร์ที่สหรัฐฯสร้างไว้ในโคลอมเบีย

บูทต่อสู้ว่า เขาเป็นนักธุรกิจ เดินทางเข้าไทยเพื่อเจรจาขายเครื่องบิน และถูกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และไทยหลายคนเข้าจับกุม และแจ้งข้อหาก่อการร้าย เขาถูกเกลี้ยกล่อมให้เดินทางไปขึ้นศาลที่สหรัฐฯ แต่ไม่ยอม ส่วนข้อหาที่ว่า เขาขายอาวุธให้กับขบวนการ FARC ก็ไม่เป็นความจริง

ในเว็บไซต์ของเขา บูทยังอ้างว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ DEA จับตัวเขานั้น ไม่มีหมายจับมาด้วย หมายจับเพิ่งจะมาถึงหลังจากนั้น 4 วัน

ศาลอาญาตัดสินว่า คดีนี้เป็นคดีการเมือง เพราะขบวนการ FARC เป็นขบวนการทางการเมืองจึงต้องห้าม ตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 นอกจากนี้ ฝ่ายโจทก์ไม่มีหลักฐานมายืนยันว่า จำเลยร่วมมือกับขบวนการ FARC มีแต่เพียงข้อกล่าวหาลอยๆ จึงยกคำร้อง

สหรัฐฯ ไม่พอใจต่อคำตัดสิน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ เป็นเรื่องของอธิปไตยของไทย จึงได้แต่แสดงความผิดหวัง และแน่นอนว่า ต้องมีข่าวลอยตามมาว่า ไทยถูกกดดันจากรัสเซีย เพราะก่อนหน้านี้ รัสเซียเคยร้องขอให้ไทยส่งตัวนายบูทกลับไปให้เหมือนกัน เมื่อศาลยกฟ้อง รัสเซียก็แสดงความยินดีต่อคำตัดสินนี้

ศาลไทย ตกอยู่ในหว่างเขาควายระหว่าง พญาอินทรี กับ หมีขาว เพียงเพราะว่า เรื่องนี้เหตุเกิดที่กรุงเทพฯ เท่านั้น ตัดสินออกไปทางไหน ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว ดีที่สุดคือ ยึดความถูกต้อง เป็นธรรมตามหลักกฎหมาย

ครั้งที่ นายฮัมบาลี ผู้ก่อการร้ายชาวอินโดนีเซียถูกตำรวจไทยจับตัวได้ เขาถูกส่งตัวไปให้ทางสหรัฐฯ ทันที โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมของไทย ครั้งนี้ ทางสหรัฐฯก็คงต้องการเอาตัวบูทกลับไปทันทีเหมือนกัน แต่ตำรวจไทยไม่กล้า เพราะบูทคือ อดีตเคจีบี และนายวลาดิเมียร์ ปูติน รวมทั้งกลุ่มอำนาจในเคลมลินตอนนี้ ก็ล้วนแต่เป็น อดีต เคจีบี ทั้งนั้น กำลังภายในของบูทจึงไม่ธรรมดา กระบวนการขอตัวเขาไปขึ้นศาลที่สหรัฐฯจึงต้องผ่านการต่อสู้ในศาลไทยเสียก่อน

เรื่องของบูทนี้ ทางสหรัฐฯเองก็เคยมีความเห็นที่ไม่ตรงกันมาแล้ว ในปลายสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน ฝ่ายข่าวกรองต้องการให้จับตัวเขามาให้ได้ แต่ถูกยับยั้งจากคอนโดลิซซา ไรซ์ ซึ่งขณะนั้น เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง โดยอ้างว่า ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าที่ต้องทำ

เป็นไปได้ไหมว่า วิคเตอร์ บูท อาจจะรู้เรื่องอะไรของสหรัฐฯมากเกินไป หรือเปล่า จึงต้องเอาตัวมาเก็บไว้เสีย
กำลังโหลดความคิดเห็น