xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐกิจไทยฟื้นแล้ว เชื่อหรือไม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลงานรัฐบาล เมื่อ 6 ส.ค.52
"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
โดย โชกุน


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดอย่างมั่นใจในการแถลงผลงาน 6 เดือนของรัฐบาลว่า เศรษฐกิจไทยผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว และขณะนี้กำลังมีแนวโน้มการขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างเร่งตัวขึ้นพอสมควร หรือเป็นการฟื้นฟูแบบตัว V คือ ลงเร็ว และขึ้นเร็ว

คนฟังฟังแล้ว จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ขึ้นอยู่กับว่า อยู่ข้างไหน

ถ้าเป็นพวก ค่ายกางเกงแดง โกร่ง ส.ภูพิมาน ก็ต้องบอกว่า เหลวไหล เพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพิ่งบอกอยู่หยกๆ ว่า ปีหน้าก็ยังไม่ฟื้น เพราะมันยังไม่ถึงจุดต่ำสุด แล้วจะฟื้นได้อย่างไร บ้านนี้เมืองนี้ ไม่เชื่อผม แล้วจะเชื่อใคร

ถ้าเป็นพวกเชียร์มาร์ค แน่นอนว่า มาร์คพูดอะไรก็เชื่ออยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ที่นายอภิสิทธิ์เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นแล้ว ก็มีเหตุผลประกอบ ไม่ใช่พูดลอยๆ

เหตุผลที่ว่านี้ก็คือ เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวที่มีสัญญาณไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ดัชนีผลผลิตทางอุตสาหกรรมที่เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาสจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน, อัตราการใช้กำลังการผลิต ที่เริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น, ดัชนีการบริโภคของภาคเอกชนที่มีสัญญาณดีขึ้น, รายได้จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น

ตัวเลขเหล่านี้ เป็นการจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. เพื่อประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทย เชื่อว่า คงไม่ปั้นตัวเลขขึ้นมา เพื่อให้ถูกใจฝ่ายการเมือง เพราะตัวเลขพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะตรวจสอบว่า มั่ว หรือไม่มั่ว

เรื่องเศรษฐกิจ จะดีขึ้น เลวลง หรือจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้จริงหรอก จะรู้ก็ต่อเมื่อเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น ลองย้อนไปดูในอดีตที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ๆ ขึ้น ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นกูรูระดับไหน จะไปรู้เอาก็ต่อเมือเกิดขึ้นแล้ว แล้วก็มาอธิบายเป็นคุ้งเป็นแควว่า ทำไมจึงเกิด ใครผิด แล้วจะมีผลกระทบอย่างไร

ตัวอย่างเช่น ตอนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ต้มยำกุ้ง ปี 2540 ก่อนจะเกิด บรรดาผู้รู้ทั้งหลาย ทั้งรัฐบาลและเอกชน ล้วนมีความเชื่อว่า ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการเงินของเอเชีย การเปิดเสรีทางการเงิน คือ การเปิดประตูสู่สวรรค์ ตอนนั้นมีคนเสนอให้เก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้น โดนด่ายับเยินว่า ทำลายบรรยากาศการลงทุน จะทำให้ต่างชาติถอนเงินกลับ

ครั้นเกิดปัญหาขึ้น ก็งงเป็นไก่ตาแตกอยู่พักใหญ่ พอตั้งหลักได้ ก็เริ่มโทษกันไป โทษกันมา หาคนผิด ทั้งๆที่จริงแล้ว มันเป็นความผิดรวมหมู่เพราะเห็นดีเห็นงามกันทั้งชาติ

เรื่องแบบนี้เป็นกันทั้งโลก ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย เหมือนวิกฤติซับไพรม์ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา แล้วลามไปทั่วโลก นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงินที่ได้ชื่อว่า เซียน ของฝรั่ง ยังคิดไม่ถึงว่า จะเกิดขึ้น

ขนาดนายอลัน กรีนสแปน อดีตผู้ว่าการธนาคารกลาง ที่เป็นเหมือนเทพเจ้าของตลาดการเงินสหรัฐฯ พูดอะไรออกมา ทุกคนต้องฟัง ยังตกม้าตาย เสียคนเมื่อแก่ เพราะว่า ตอนที่อยู่ในตำแหน่ง ไปสนับสนุน การค้าตราสารอนุพันธ์อย่างเสรี ไม่ออกกฎระเบียบมาควบคุม ซึ่งในที่สุด ตราสารอนุพันธ์นี่แหละ ที่ทำให้แบงก์ใหญ่ของสหรัฐ และเอไอเอ เจ๊งเป็นแถว จนรัฐบาลต้องเข้ามาอุ้ม

การที่นายอภิสิทธิ์บอกว่า เศรษฐกิจไทยพ้นจากจุดต่ำสุดแล้ว ก็เป็นการพูดจากพื้นฐานข้อมูล ที่เกิดขึ้นจริง ส่วนที่บอกว่า ต่อไปจะมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างรวดเร็ว อันนี้เป็นความเชื่อ ใครไปอยู่ในฐานะอย่างนายอภิสิทธิ์ ก็ต้องพูดอย่างนั้น จะฟื้นจริงหรือไม่ก็ต้องรอดูกันต่อไป

ถ้าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นจริง ก็ไม่ใช่ความสามารถของรัฐบาลนี้แต่อย่างใด เศรษฐกิจของเรานั้น ขึ้นอยู่กับการส่งออก ถ้าเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯดีขึ้น ซื้อของเพิ่มขึ้น เราก็ส่งออกได้มากขึ้น เหมือนตู้รถไฟ จะวิ่งเร็ว หรือช้า วิ่งตกรางหรือไม่ อยู่ที่หัวรถจักรจะพาไปทางไหน

เชื่อหรือไม่ ถึงรัฐบาลจะไม่มีแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง เศรษฐกิจไทยก็สามารถฟื้นได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ประการแรก เพราะเป็นไปตามเศรษฐกิจโลก ประการที่สอง เศรษฐกิจไทยนั้น ขับเคลื่อนด้วยภาคเอกชนมาช้านาน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นับตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย ในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน

สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการคือ ความต่อเนื่อง ชัดเจนของนโยบาย ซึ่งหมายความว่า การเมืองต้องนิ่ง รัฐบาลต้องเข้มแข็ง นายกรัฐมนตรี ต้องกล้าตัดสินใจแก้ปัญหาความขัดแย้ง ไม่ใช่ซื้อเวลารอให้ปัญหาคลี่คลายไปเอง.
กำลังโหลดความคิดเห็น