ประธาน ส.อ.ท.เชื่อเศรษฐกิจไทยปีหน้าฟื้นตัวชัดเจน หลังมีเม็ดเงินกระตุ้นมหาศาล 1.4 ล้านล้านบาท พร้อมประเมินผลงาน 6 เดือน ต้องมองเป็น 2 ด้าน ได้แก่ คะแนนความตั้งใจ และคะแนนฝีมือการบริหาร
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจครึ่งปีหลังเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ภาครัฐจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ปีหน้า ตนเองมองว่า รัฐบาลจะได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่กับการเดินหน้าแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ที่มีเป้าหมายใช้เงิน 3 ปี วงเงินรวม 1.4 ล้านล้านบาท
นายสันติ กล่าวว่า ในปี 2553 จะเป็นปีที่มีการใช้เงินของภาครัฐสูงถึง 1 ล้านล้านบาทของโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งเป็นระดับมากพอจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยเป็นการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจหลายภาคส่วนทั้งระบบชลประทาน การศึกษา ระบบขนส่ง โลจิสติกส์ บวกกับงบประมาณปี 2553 ที่ควรจะเริ่มใช้จ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณและเงินกู้จากการออก พ.ร.ก.ซึ่งเหลือจากการชดเชยงบประมาณกว่า 200,000 ล้านบาท หากรัฐบาลใช้จ่ายเงินได้ถูกทางและตรงเวลา โอกาสที่เศรษฐกิจจะดีขึ้นก็เป็นไปได้สูง
“ความจริง เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 ที่ผ่านมา หลังจากดัชนีความเชื่อมั่นหลายตัวเริ่มปรับดีขึ้น ทั้งดัชนียอดขาย การว่างงานลดลง อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น หากรัฐบาลกระตุ้นการใช้จ่าย ประกอบกับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยเริ่มดีขึ้น ทั้งจีนและอาเซียน จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น”
นายสันติ ให้ความเห็นถึงผลงานของรัฐบาล 6 เดือน ว่า มองได้เป็น 2 ส่วน คือ ด้านความตั้งใจในการทำงานของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี มีความตั้งใจสูง ให้คะแนน 8.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน แต่รัฐบาลก็มีปัญหาและข้อจำกัดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจโลก ทำให้มีข้อจำกัดในการเร่งฟื้นเศรษฐกิจ ขณะที่การส่งออกและความเชื่อมั่นการลงทุนล้วนได้รับผลกระทบ คำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีปัญหาเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจ ซึ่งปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากเศรษฐกิจในภูมิภาคยังดีอยู่ เงินจึงไหลเข้า
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งควบคุมได้ยาก ส่วนการเมืองไม่นิ่งพอ การแก้ปัญหาการเมืองยิ่งยากกว่าปัญหาอื่น การทำงานของรัฐบาล 6 เดือน จึงมีข้อจำกัดในการทำงานมาก ผลงานที่ออกมาจึงค่อนข้างลำบาก ประกอบกับงบประมาณมีไม่มากพอ จึงให้คะแนนผลงานรัฐบาลที่ 6.5-7.0 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจครึ่งปีหลังเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ภาครัฐจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ปีหน้า ตนเองมองว่า รัฐบาลจะได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่กับการเดินหน้าแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ที่มีเป้าหมายใช้เงิน 3 ปี วงเงินรวม 1.4 ล้านล้านบาท
นายสันติ กล่าวว่า ในปี 2553 จะเป็นปีที่มีการใช้เงินของภาครัฐสูงถึง 1 ล้านล้านบาทของโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งเป็นระดับมากพอจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยเป็นการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจหลายภาคส่วนทั้งระบบชลประทาน การศึกษา ระบบขนส่ง โลจิสติกส์ บวกกับงบประมาณปี 2553 ที่ควรจะเริ่มใช้จ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณและเงินกู้จากการออก พ.ร.ก.ซึ่งเหลือจากการชดเชยงบประมาณกว่า 200,000 ล้านบาท หากรัฐบาลใช้จ่ายเงินได้ถูกทางและตรงเวลา โอกาสที่เศรษฐกิจจะดีขึ้นก็เป็นไปได้สูง
“ความจริง เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 ที่ผ่านมา หลังจากดัชนีความเชื่อมั่นหลายตัวเริ่มปรับดีขึ้น ทั้งดัชนียอดขาย การว่างงานลดลง อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น หากรัฐบาลกระตุ้นการใช้จ่าย ประกอบกับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยเริ่มดีขึ้น ทั้งจีนและอาเซียน จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น”
นายสันติ ให้ความเห็นถึงผลงานของรัฐบาล 6 เดือน ว่า มองได้เป็น 2 ส่วน คือ ด้านความตั้งใจในการทำงานของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี มีความตั้งใจสูง ให้คะแนน 8.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน แต่รัฐบาลก็มีปัญหาและข้อจำกัดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจโลก ทำให้มีข้อจำกัดในการเร่งฟื้นเศรษฐกิจ ขณะที่การส่งออกและความเชื่อมั่นการลงทุนล้วนได้รับผลกระทบ คำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีปัญหาเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจ ซึ่งปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากเศรษฐกิจในภูมิภาคยังดีอยู่ เงินจึงไหลเข้า
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งควบคุมได้ยาก ส่วนการเมืองไม่นิ่งพอ การแก้ปัญหาการเมืองยิ่งยากกว่าปัญหาอื่น การทำงานของรัฐบาล 6 เดือน จึงมีข้อจำกัดในการทำงานมาก ผลงานที่ออกมาจึงค่อนข้างลำบาก ประกอบกับงบประมาณมีไม่มากพอ จึงให้คะแนนผลงานรัฐบาลที่ 6.5-7.0 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน