ASTVผู้จัดการรรายวัน - "มาร์ค" สยบมาร ไม่หวันอาถรรพ์ "666" นำ 6 พรรคร่วมฯ แถลงผลงาน 6 เดือน วันที่ 6 สิงหาฯ เปิดใจอาสาเข้ามาดับไฟก่อนสร้างบ้านใหม่อยู่ดีกินดี ลั่นเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวเป็นรูปตัว "V" ลงเร็วก็ต้องขึ้นเร็ว ครวญเอาชีวิตเข้าแลกสงกรานต์เลือด สัญญาทำงานหนักต่อไป
วานนี้ (6 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) 6 พรรคร่วมแถลงผลงานรัฐบาลรอบ 6 เดือน (มกราคม- มิถุนายน) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีสื่อมวลชนนับร้อยชีวิตเข้าร่วมรับฟังการแถลงในครั้งนี้ โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติNBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
การแถลงต้องเริ่มต้นในเวลา 10.00 น. แต่ปรากฏว่าเกิดปัญหาเล็กน้อยเมื่อไมโครโฟนชนิดไวร์เลสที่จะซ่อนที่ตัวนายอภิสิทธิ์เพื่อที่ให้นายอภิสิทธิ์ได้เดินแถลงบนเวทีเกิดขัดข้อง ทำให้ทีมงานต้องรีบเปลี่ยนมาใช้วิธีการตั้งโพเดียมและไมโครโฟนที่มีสายแทน จึงทำให้แผนของการแถลงที่หวังจะให้นายอภิสิทธิ์เดินแถลงเหมือนนายบารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐ ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน โดยใช้เวลาในการแก้ไขปัญหานาน 10 นาที และเมื่อแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้นก็เริ่มมีการถ่ายทอดสดและมีการเปิดภาพยนตร์โฆษณาผลงานรัฐบาลที่จัดทำขึ้น
***เข้ามาดับไฟช่วยคนอ่อนแอก่อน
นายอภิสิทธิ์เริ่มแถลงว่า อยากให้ทุกคนได้นึกย้อนกลับไปเมื่อปลายปีที่แล้วเดือนธันวาคม 2551 เป็นช่วงเวลาที่เชื่อว่าทุกคนในสังคมมีความทุกข์ มีความทุกข์ มีความวิตกกังวล ทั้งในเรื่องของปัญหา วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งได้ลุกลามมาจากต่างประเทศอย่างชัดเจนตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และตัวเลขทางเศรษฐกิจซึ่งเคยเติบโตมาโดยตลอด ก็เริ่มเห็นเป็นตัวเลขที่ติดลบมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และที่สำคัญคือว่าวิกฤตทางการเมืองและความขัดแย้งของผู้คนในสังคมทวีความรุนแรง และเป็นวิกฤตที่ต่อเนื่องยาวนานมาเป็นระยะเวลาหลายปี
"แต่ที่แย่ที่สุดในขณะนั้นคือว่านอกเหนือจากที่พี่น้องประชาชนมีความทุกข์กับวิกฤต 2 วิกฤตที่เกิดขึ้นแล้ว เรามองไม่เห็นทางออกในวันนั้น ไม่มีใครกล้าแม้ที่จะตั้งความหวังว่าเศรษฐกิจไทย การเมืองไทย ประเทศไทยจะเดินไปอย่างไร รัฐบาลเข้ามารับภาระหน้าที่ในสถานการณ์อย่างนั้น ผมรู้ตั้งแต่วันแรกว่าวิกฤตที่จะต้องคลี่คลายที่จะต้องแก้ไขไม่ง่าย ความรุนแรงทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ต้องถือว่ารุนแรงมาก เมื่อเทียบกับวิกฤตครั้งอื่นๆ ที่เราเคยประสบมาในประวัติศาสตร์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมได้ให้คำมั่นสัญญาตั้งแต่วันแรกก็คือ ผมและรัฐบาลจะทุ่มเททำงานอย่างหนัก และไม่มีอะไรดีไปกว่าการยึดมั่นผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ ตั้งในการทำงาน และถ้าจะสรุปต้องบอกว่าเป้าหมายของรัฐบาลคือความสุขของพี่น้องประชาชนคนไทย"
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในการทำงานในการกำหนดนโยบายได้ยึดถือเอานโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งกลั่นกรองมาจากนโยบายของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลทุกพรรค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้นเคยมีเรื่องของแผน ปฏิบัติการเร่งด่วน 99 วันอยู่ด้วย ก็ได้ถือเอาตรงนั้นมาเป็นหลักในการกำหนดทิศทางนโยบาย พร้อม ๆ ไปกับการทำความเข้าใจกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากวันที่พรรคการเมืองทั้งหลายได้เคยกำหนดนโยบายไว้ใน ช่วงของการเลือกตั้ง 6 เดือนแรกหรือครึ่งปีแรกผ่านไป นโยบายเหล่านั้นถูกแปรสภาพมาเป็นกว่า 100 มาตรการ และมั่นใจว่าได้นำไปสู่อีกหลายล้านความสุขที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนคนไทย ทั้งประเทศ
อยากจะชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ที่พวกเราเข้ามาทำงานนั้น เสมือนกับเข้ามาแก้ไขปัญหาอาคารที่กำลังถูกไฟไหม้ งานแรกที่เราต้องทำคือต้องช่วยเหลือคนที่อยู่ในอาคาร นั่นหมายถึงคนที่อ่อนแอที่สุด คนที่มีความเสี่ยงที่สุด ที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้น งานที่ 2 คือ ดับไฟ นั่นคือต้องหามาตรการในการที่จะมาแก้ปัญหาให้ตรงจุดกับวิกฤตเศรษฐกิจและการ เมืองที่เกิดขึ้น และแน่นอนที่สุด งานที่ 3 ไม่ได้มีความสำคัญยิ่งหย่อนไปกว่า 2 งานแรกคือการสร้างความแข็งแกร่งออกแบบอาคารใหม่ ให้สามารถที่จะเป็นที่อยู่อาศัยที่ทุกคนมีความสุข มีความมั่นคง และมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นในการที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคต
"ทุกนโยบายทุกมาตรการได้จัดลำดับและทำให้เกิดความสม่ำเสมอต่อเนื่อง ก็คือว่าทำข้อที่1 ก็เล็งเอาไว้เลยว่าข้อที่ 2 จะต้องเกิดขึ้นด้วย ทำข้อที่ 2 ก็จะต้องแก้ข้อที่ 3 ไปพร้อม ๆกันด้วย ไม่มีลักษณะของการทำงานที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียว หรือหรือแก้ปัญหาว่าวันนี้เป็นอย่างไร ขอให้ปัญหาพ้นไป ไม่ใช่แนวทางที่รัฐบาลได้ทำงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา"
ผลงานทั้งหมดของรัฐบาลว่า งานสำคัญที่รัฐบาลได้ดำเนินการจนประสบความสำเร็จแล้วใน 6 เดือนแรก หลายเรื่องถือเป็นคำมั่นสัญญา จะเป็นจากการหาเสียง จะเป็นจากการกำหนดนโยบายของพรรคของรัฐบาล หรือการแสดงวิสัยทัศน์ในที่ต่างๆ อยากจะยืนยันว่าคำมั่นสัญญาหลายอย่าง ซึ่งพี่น้องประชาชนคนไทยได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพิ่งมาเป็นจริง และเราได้ทำแล้วในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นนายกฯ กล่าวถึงชิ้นผลงานของรัฐบาล 6 พรรค ทีละนโยบายเริ่มจาก นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่เด็กได้รับประโยชน์ 12 ล้านคน และขอบคุณทางกระทรวงศึกษาธิการ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาทต่อเดือน โครงการการแทรกแซงราคาพืชผล โครงการต้นกล้าอาชีพ มาตรการลดภาระค่าครองชีพช่วยเหลือประชาชน 5 มาตรการ 6 เดือน โครงการเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท โครงการชุมชนพอเพียง การช่วยเหลือภาคธุรกิจเอกชนในภาพรวม ที่ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดอยู่ทุกสัปดาห์ในการประชุมครม.เศรษฐกิจ การให้ธนาคารวิสาหกิจขนาดกลาง-ขนาดย่อมปล่อยสินเชื่อ ค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 600 บาทต่อเดือน
"เราได้ทำเพื่อคนไทยทุกภาคทุกคน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากวิกฤตเศรษฐกิจ ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 60-80 ปี ตรงนี้เราช่วยเหลือคนพร้อม ๆ ไปกับการบรรเทาและมีส่วนในการแก้ปัญหาส่วนหนึ่ง เพราะว่ามาตรการเหล่านี้ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เราไม่ได้หยุดเท่านั้น เราเดินหน้าต่อทันทีว่าเราจะต้องแก้และกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมๆ ไปกับเพิ่มความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยของเราลงทุนเพื่อคนไทยทั้งประเทศ" นายอภิสิทธิ์กล่าว
จากนั้นนายกฯ ได้กล่าวถึงนโยบายที่รัฐบาลกำลังดำเนินการว่า ได้จัดทำแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง มีการขายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง การกู้เงินจากภายในประเทศซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องของการไปก่อหนี้โดยการไปกู้เงินจาก ต่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อนำมาจัดระบบชลประทาน การขนส่ง คมนาคม โลจิสติกส์ การลงทุนครั้งใหญ่ในส่วนของรถไฟทั้งในภูมิภาค และในกรุงเทพมหานคร โครงการถนนไร้ฝุ่น ถนนปลอดภัย การยกระดับคุณภาพของโรงเรียน 8,000 แห่ง การปรับปรุงห้องสมุดกว่า 1,700 แห่ง การปฏิรูปการศึกษา ทำห้องเรียนวิทยาศาสตร์ การยกเครื่องระบบการสอบคัดเลือก การยกระดับสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาล สร้างเสริมสุขภาพระดับตำบล การพัฒนาสถานพยาบาล รักษาโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคสำคัญอื่น ๆ การสร้างห้องแล็ปแห่งชาติเพื่อคนไทยเพื่อวิจัย สร้างงานและลดการนำเข้า การฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว และแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ เกือบ 400 โครงการ อาทิ การสนับสนุนอุตสาหกรรมฮาลาละครบวงจร การส่งเสริมให้ปลูกปาล์มน้ำมัน
ส่วนการแก้ปัญหาภาคใต้ว่า มีการปรับทิศทางปรับนโยบายอย่างชัดเจน นำเรื่องของความยุติธรรมและการพัฒนารวมไปถึงการเมือง มานำในเรื่องของการทหาร แล้วก็เรื่องเดียวที่ได้พูดตั้งแต่ต้นว่าจะไม่สามารถทำได้ภายใน 99 วันก็คือเรื่องของกฎหมายในการตั้งสำนักงาน เราก็ได้ใช้วิธีการตั้งคณะรัฐมนตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ และจะผลักดันกฎหมายในสมัยประชุมที่จะเริ่มต้นขึ้น ที่จริงเริ่มต้นขึ้นในเดือนนี้ เพื่อที่จะเดินหน้าในเรื่องนี้ต่อไป
***ลั่นเศรษฐกิจจะฟื้นเป็นรูปตัววี
นายกฯ กล่าวถึงผลตอบรับที่ดีจากนโยบายด้านเศรษฐกิจว่า การรายงานตัวเลขทาง เศรษฐกิจในอดีตเรามักจะดูตัวเลขเปรียบเทียบปีต่อปี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ปกติ เข้าใจได้ แต่ในภาวะวิกฤตที่มีความเปลี่ยนแปลงความผันผวนมากนี้ การจะดูแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร จะต้องดูตัวเลขไตรมาสต่อไตรมาส และเดือนต่อเดือน ซึ่งพอเรามาดูตัวเลขตรงนี้คิดว่าเราจะเห็นภาพ ชัดเจนขึ้นว่า สิ่งที่รัฐบาลได้ทำไปกับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลก กำลังส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างไร นี่คืออัตราการเติบโตของ GDP เทียบไตรมาสต่อไตรมาส ซึ่งเป็นวิธีการคำนวณที่นิตยสารทางด้านเศรษฐกิจธุรกิจได้ใช้คำนวณกับประเทศ อื่น ๆ มาบ้างแล้ว ถ้าดูจากตัวเลขจะบ่งบอกชัดเจนว่าเราได้ผ่าน จุดต่ำสุดไปแล้วจริง ๆ แล้วขณะนี้กำลังมีแนวโน้มของการขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างเร่งตัวขึ้นมาพอ สมควร ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขาก็จะพูดว่าเป็นการฟื้นฟูแบบตัว V คือลงเร็วแล้วก็ขึ้นค่อนข้างเร็ว
แต่ไม่ใช่เฉพาะตัวเลขตัวนี้เท่านั้นถ้าไล่ดูตัวเลขอื่นๆ ที่ตามมา จะบ่งบอกสัญญาณในลักษณะเดียวกันทั้งสิ้น เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ถ้าเทียบในลักษณะของไตรมาสต่อไตรมาสก็จะเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างชัดเจน อัตราการใช้กำลังการผลิตก็กำลังผงกหัวขึ้นมา และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ดัชนีการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน ซึ่งอันนี้คือเป้าหมายหลักของบรรดามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกน ว่าจะสามารถหยุดยั้งการทรุดลงของสถานการณ์และกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่ม ขึ้น ขณะนี้ก็เริ่มมีสัญญาณที่ดีเช่นเดียวกัน รายได้การจัดเก็บภาษี มูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะสัมพันธ์กับเรื่องการบริโภคขณะนี้การฟื้นตัวกำลังเริ่มขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องของการส่งออก ถ้าดูตัวเลขไตรมาสต่อไตรมาส เดือนต่อเดือน รวมไปถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม นอกจากนั้นในส่วนของอุตสาหกรรมดูอัตราการเติบโตของยอดขายรถยนต์ จักรยานยนต์ ก็เป็นแนวโน้มเดียวกันหมด และขณะเดียวกันการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสมาคมบริษัทจดทะเบียน
"ถ้าถามถึงว่ามีสัญญาณการฟื้นตัวภาคการลงทุน มองไปข้างหน้า แล้วก็มองผลงานของรัฐบาลกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการยืนยันครับว่า 6 เดือนที่ผ่านมาผมทราบดีว่าเป็นช่วงที่ทุกคนยากลำบากที่สุดจากวิกฤตเศรษฐกิจ ครั้งนี้ แต่ผมมั่นใจว่าจุดเลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว แล้วขณะนี้จากการวางแผนที่ ต่อเนื่องในเรื่องมาตรการของเศรษฐกิจนั้น จะทำให้การฟื้นตัวเกิดขึ้น และเราได้เตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจหลังการฟื้นตัวแล้วด้วย นี่คือภาพรวมเศรษฐกิจ"
สำหรับบทบาทของการเป็นประธานอาเซียน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องใช้เวลาพอสมควรในการไปสื่อสารกับต่างประเทศ ที่เห็นแต่ข่าวร้ายจากประเทศไทยมาโดยตลอดระยะเวลาหลายปี และก็สามารถดำเนินการหลายเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะประธานของอาเซียน ที่จะมีบทบาทในภูมิภาค ที่จะมีบทบาทในฐานะตัวแทนของภูมิภาคในเวทีโลกด้วย แน่นอนมีช่วงเหตุการณ์เดือนเมษายน ที่ยังคงเป็นปัญหา แล้วก็ในส่วนของปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาในกว่า 100 ประเทศในขณะนี้ ก็ยังเป็นจุดที่เราจะต้องเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาภาพลักษณ์ในส่วนนี้ต่อไป
"ผมมั่นใจว่าจะทำให้เรามองเห็นว่าในอนาคตข้างหน้านั้น เราได้ก้าว ผ่านพ้นช่วงที่เลวร้ายที่สุด และกำลังกลับเข้าสู่การฟื้นตัวอย่างแท้จริง แต่ผมอยากจะเรียนต่อไปครับว่า สิ่งที่สัญญาแล้ว ทำได้แล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราสัญญาและจะสัญญาจะทำ แล้วก็จะทำให้เห็นให้เป็นผลอีก จะเป็นเรื่องใหญ่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย"
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวถึงนโยบายและมาตรการต่างๆ ที่เตรียมจะดำเนินการ คือ เรื่องของระบบสวัสดิการชุมชน การขยายระบบประกันสังคม การออมสำหรับชราภาพ และเรื่องของบำนาญที่ในอนาคตคนไทยทุกคนจะได้สิทธินี้ การทำโฉนดชุมชน การขยายบ้านมั่นคง การปรับปรุงภาษีทรัพย์สินและที่ดิน ตั้งกองทุนธนาคารที่ดิน การปัญหาที่ทำกิน -หนี้สินผ่านกองทุนฟื้นฟู และผ่านโครงการธนาคารต้นไม้และโครงการอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการปรับเปลี่ยน ปฏิรูประบบการแทรกแซงราคาพืชผล การเดินหน้าเรื่องความมั่นคงในการจัดหาพลังงาน การส่งเสริมพลังงานทดแทน การสนับสนุนให้เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ การปรับปรุงระบบการบริการของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเอกชนทั้งหมด ซึ่งงานต่างๆ เหล่านี้ ได้เริ่มต้นแล้วทั้งสิ้น และเป็นงานที่มีแผน มีทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งจะได้เร่งรัดต่อไป
***เอาชีวิตเข้าแลกสงกรานต์เลือด
สำหรับประเด็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในประเทศ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทราบดีว่าความขัดแย้งทางการเมืองยังไม่หมด และรู้ว่าความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมืองไม่มีทางหมดไป เพราะนั่นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของสังคมทั่วไป และเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องสร้างสังคมประชาธิปไตย แต่ก็อยากจะยืนยันว่าสิ่งที่ได้พูดตั้งแต่วันแรกในเรื่องของการปก ป้องสถาบันหลักของชาติ ในเรื่องของการสร้างความสมานฉันท์ เราได้ทำอย่างเต็มที่ แต่เราทำบนความรอบคอบระมัดระวัง ไม่ใช่ทำในลักษณะซึ่งจะตกเป็นเหยื่อของคนที่ต้องการจะเห็นความขัดแย้งขยายวง ไปสู่สถาบันต่าง ๆ และต้องการให้เกิดความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น
"เหตุการณ์เดือนเมษายนเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีต่อแนวคิดและแนวปฏิบัติของ รัฐบาลชุดนี้ ซึ่งผมและคณะรัฐบาลยึดถืออย่างเคร่งครัด ว่าไปแล้วพวกเราบางคนก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็รักษาตรงนี้ไว้บนพื้นฐานของหลักการในการเคารพความแตกต่างและสิทธิ เสรีภาพของประชาชนอย่างดีที่สุด ผมมั่นใจครับว่าแม้ความขัดแย้งยังมีอยู่ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองจะต้องมีต่อไป แต่แนวทางที่รัฐบาลได้ยึดถือมา และจะยึดถือปฏิบัติต่อไป รวมทั้งความก้าวหน้าในการทำงานร่วมกับระบบรัฐสภาในการแก้ปัญหาทางการเมือง เช่นเรื่องของรัฐธรรมนูญจะเป็นคำตอบให้กับสังคมได้ในที่สุด” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า ขอยืนยันและสัญญาว่าการทำงานของตนและคณะรัฐมนตรีจะต้องทำงานหนักขึ้น จะต้องทำงานแข่งขันกับเวลามากขึ้น จะต้องทำเรื่องยาก ๆ ที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระยะยาว ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโครงสร้างมากขึ้น และจะยังคงยึดถือประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ และหลักการประชาธิปไตย และความซื่อสัตย์สุจริตเป็นธงนำในการทำงานต่อไป ทั้งหมดนี้เป็นคำมั่นสัญญาด้วย และเหมือนกับหลายเรื่องที่เราเคยสัญญาและเราได้ทำแล้วใน 6 เดือน สิ่งที่สัญญาในวันนี้เราจะทำให้สำเร็จต่อไปสำหรับคนไทยทุกคน
***เครือสหพัฒน์ให้คะแนน 9 เต็ม 10
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า จากการทำงานรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ผมประเมินให้คะแนนไม่น้อยกว่า 9 จากคะแนนเต็ม 10 เพราะต้องเข้าใจว่า เวลาบริหารงานของที่มันเสีย ก็ต้องให้เวลาในการกลับมาทำให้ดีขึ้น แต่ประเทศจะรอให้ภาครัฐบาลผลักดันอย่างเดียวไม่ได้ ทุกฝ่ายทั้งจากภาคเอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกัน ส่วนเรื่องเร่งด่วนในขณะนี้ที่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาดำเนินการ คือ การแพร่ระบาดไข้หวัด 2009 ตนถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤต โดยอยากให้มีการรณรงค์ให้คนไทยสวมหน้ากากอนามัย เพื่อลดการแพร่เชื้อ
ด้านนายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีอาร์ซี เพาเวอร์ รีเทล จำกัด และบริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มีความตั้งใจในการทำงานได้ดี แต่ถือว่าเป็นการทำงานที่อยู่ในขั้นตอนของการเริ่มต้น ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อยู่ในระหว่างการวางแผนมากกว่า อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลใช้เงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือบริหารประเทศที่ถูกต้อง ไม่โกงกิน คิดว่าภาวะเศรษฐกิจและประเทศน่าจะกลับสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนปัจจัยที่น่าเป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงจากการแบ่งสี.
วานนี้ (6 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) 6 พรรคร่วมแถลงผลงานรัฐบาลรอบ 6 เดือน (มกราคม- มิถุนายน) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีสื่อมวลชนนับร้อยชีวิตเข้าร่วมรับฟังการแถลงในครั้งนี้ โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติNBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
การแถลงต้องเริ่มต้นในเวลา 10.00 น. แต่ปรากฏว่าเกิดปัญหาเล็กน้อยเมื่อไมโครโฟนชนิดไวร์เลสที่จะซ่อนที่ตัวนายอภิสิทธิ์เพื่อที่ให้นายอภิสิทธิ์ได้เดินแถลงบนเวทีเกิดขัดข้อง ทำให้ทีมงานต้องรีบเปลี่ยนมาใช้วิธีการตั้งโพเดียมและไมโครโฟนที่มีสายแทน จึงทำให้แผนของการแถลงที่หวังจะให้นายอภิสิทธิ์เดินแถลงเหมือนนายบารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐ ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน โดยใช้เวลาในการแก้ไขปัญหานาน 10 นาที และเมื่อแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้นก็เริ่มมีการถ่ายทอดสดและมีการเปิดภาพยนตร์โฆษณาผลงานรัฐบาลที่จัดทำขึ้น
***เข้ามาดับไฟช่วยคนอ่อนแอก่อน
นายอภิสิทธิ์เริ่มแถลงว่า อยากให้ทุกคนได้นึกย้อนกลับไปเมื่อปลายปีที่แล้วเดือนธันวาคม 2551 เป็นช่วงเวลาที่เชื่อว่าทุกคนในสังคมมีความทุกข์ มีความทุกข์ มีความวิตกกังวล ทั้งในเรื่องของปัญหา วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งได้ลุกลามมาจากต่างประเทศอย่างชัดเจนตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และตัวเลขทางเศรษฐกิจซึ่งเคยเติบโตมาโดยตลอด ก็เริ่มเห็นเป็นตัวเลขที่ติดลบมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และที่สำคัญคือว่าวิกฤตทางการเมืองและความขัดแย้งของผู้คนในสังคมทวีความรุนแรง และเป็นวิกฤตที่ต่อเนื่องยาวนานมาเป็นระยะเวลาหลายปี
"แต่ที่แย่ที่สุดในขณะนั้นคือว่านอกเหนือจากที่พี่น้องประชาชนมีความทุกข์กับวิกฤต 2 วิกฤตที่เกิดขึ้นแล้ว เรามองไม่เห็นทางออกในวันนั้น ไม่มีใครกล้าแม้ที่จะตั้งความหวังว่าเศรษฐกิจไทย การเมืองไทย ประเทศไทยจะเดินไปอย่างไร รัฐบาลเข้ามารับภาระหน้าที่ในสถานการณ์อย่างนั้น ผมรู้ตั้งแต่วันแรกว่าวิกฤตที่จะต้องคลี่คลายที่จะต้องแก้ไขไม่ง่าย ความรุนแรงทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ต้องถือว่ารุนแรงมาก เมื่อเทียบกับวิกฤตครั้งอื่นๆ ที่เราเคยประสบมาในประวัติศาสตร์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมได้ให้คำมั่นสัญญาตั้งแต่วันแรกก็คือ ผมและรัฐบาลจะทุ่มเททำงานอย่างหนัก และไม่มีอะไรดีไปกว่าการยึดมั่นผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ ตั้งในการทำงาน และถ้าจะสรุปต้องบอกว่าเป้าหมายของรัฐบาลคือความสุขของพี่น้องประชาชนคนไทย"
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในการทำงานในการกำหนดนโยบายได้ยึดถือเอานโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งกลั่นกรองมาจากนโยบายของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลทุกพรรค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้นเคยมีเรื่องของแผน ปฏิบัติการเร่งด่วน 99 วันอยู่ด้วย ก็ได้ถือเอาตรงนั้นมาเป็นหลักในการกำหนดทิศทางนโยบาย พร้อม ๆ ไปกับการทำความเข้าใจกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากวันที่พรรคการเมืองทั้งหลายได้เคยกำหนดนโยบายไว้ใน ช่วงของการเลือกตั้ง 6 เดือนแรกหรือครึ่งปีแรกผ่านไป นโยบายเหล่านั้นถูกแปรสภาพมาเป็นกว่า 100 มาตรการ และมั่นใจว่าได้นำไปสู่อีกหลายล้านความสุขที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนคนไทย ทั้งประเทศ
อยากจะชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ที่พวกเราเข้ามาทำงานนั้น เสมือนกับเข้ามาแก้ไขปัญหาอาคารที่กำลังถูกไฟไหม้ งานแรกที่เราต้องทำคือต้องช่วยเหลือคนที่อยู่ในอาคาร นั่นหมายถึงคนที่อ่อนแอที่สุด คนที่มีความเสี่ยงที่สุด ที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้น งานที่ 2 คือ ดับไฟ นั่นคือต้องหามาตรการในการที่จะมาแก้ปัญหาให้ตรงจุดกับวิกฤตเศรษฐกิจและการ เมืองที่เกิดขึ้น และแน่นอนที่สุด งานที่ 3 ไม่ได้มีความสำคัญยิ่งหย่อนไปกว่า 2 งานแรกคือการสร้างความแข็งแกร่งออกแบบอาคารใหม่ ให้สามารถที่จะเป็นที่อยู่อาศัยที่ทุกคนมีความสุข มีความมั่นคง และมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นในการที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคต
"ทุกนโยบายทุกมาตรการได้จัดลำดับและทำให้เกิดความสม่ำเสมอต่อเนื่อง ก็คือว่าทำข้อที่1 ก็เล็งเอาไว้เลยว่าข้อที่ 2 จะต้องเกิดขึ้นด้วย ทำข้อที่ 2 ก็จะต้องแก้ข้อที่ 3 ไปพร้อม ๆกันด้วย ไม่มีลักษณะของการทำงานที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียว หรือหรือแก้ปัญหาว่าวันนี้เป็นอย่างไร ขอให้ปัญหาพ้นไป ไม่ใช่แนวทางที่รัฐบาลได้ทำงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา"
ผลงานทั้งหมดของรัฐบาลว่า งานสำคัญที่รัฐบาลได้ดำเนินการจนประสบความสำเร็จแล้วใน 6 เดือนแรก หลายเรื่องถือเป็นคำมั่นสัญญา จะเป็นจากการหาเสียง จะเป็นจากการกำหนดนโยบายของพรรคของรัฐบาล หรือการแสดงวิสัยทัศน์ในที่ต่างๆ อยากจะยืนยันว่าคำมั่นสัญญาหลายอย่าง ซึ่งพี่น้องประชาชนคนไทยได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพิ่งมาเป็นจริง และเราได้ทำแล้วในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นนายกฯ กล่าวถึงชิ้นผลงานของรัฐบาล 6 พรรค ทีละนโยบายเริ่มจาก นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่เด็กได้รับประโยชน์ 12 ล้านคน และขอบคุณทางกระทรวงศึกษาธิการ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาทต่อเดือน โครงการการแทรกแซงราคาพืชผล โครงการต้นกล้าอาชีพ มาตรการลดภาระค่าครองชีพช่วยเหลือประชาชน 5 มาตรการ 6 เดือน โครงการเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท โครงการชุมชนพอเพียง การช่วยเหลือภาคธุรกิจเอกชนในภาพรวม ที่ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดอยู่ทุกสัปดาห์ในการประชุมครม.เศรษฐกิจ การให้ธนาคารวิสาหกิจขนาดกลาง-ขนาดย่อมปล่อยสินเชื่อ ค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 600 บาทต่อเดือน
"เราได้ทำเพื่อคนไทยทุกภาคทุกคน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากวิกฤตเศรษฐกิจ ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 60-80 ปี ตรงนี้เราช่วยเหลือคนพร้อม ๆ ไปกับการบรรเทาและมีส่วนในการแก้ปัญหาส่วนหนึ่ง เพราะว่ามาตรการเหล่านี้ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เราไม่ได้หยุดเท่านั้น เราเดินหน้าต่อทันทีว่าเราจะต้องแก้และกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมๆ ไปกับเพิ่มความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยของเราลงทุนเพื่อคนไทยทั้งประเทศ" นายอภิสิทธิ์กล่าว
จากนั้นนายกฯ ได้กล่าวถึงนโยบายที่รัฐบาลกำลังดำเนินการว่า ได้จัดทำแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง มีการขายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง การกู้เงินจากภายในประเทศซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องของการไปก่อหนี้โดยการไปกู้เงินจาก ต่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อนำมาจัดระบบชลประทาน การขนส่ง คมนาคม โลจิสติกส์ การลงทุนครั้งใหญ่ในส่วนของรถไฟทั้งในภูมิภาค และในกรุงเทพมหานคร โครงการถนนไร้ฝุ่น ถนนปลอดภัย การยกระดับคุณภาพของโรงเรียน 8,000 แห่ง การปรับปรุงห้องสมุดกว่า 1,700 แห่ง การปฏิรูปการศึกษา ทำห้องเรียนวิทยาศาสตร์ การยกเครื่องระบบการสอบคัดเลือก การยกระดับสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาล สร้างเสริมสุขภาพระดับตำบล การพัฒนาสถานพยาบาล รักษาโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคสำคัญอื่น ๆ การสร้างห้องแล็ปแห่งชาติเพื่อคนไทยเพื่อวิจัย สร้างงานและลดการนำเข้า การฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว และแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ เกือบ 400 โครงการ อาทิ การสนับสนุนอุตสาหกรรมฮาลาละครบวงจร การส่งเสริมให้ปลูกปาล์มน้ำมัน
ส่วนการแก้ปัญหาภาคใต้ว่า มีการปรับทิศทางปรับนโยบายอย่างชัดเจน นำเรื่องของความยุติธรรมและการพัฒนารวมไปถึงการเมือง มานำในเรื่องของการทหาร แล้วก็เรื่องเดียวที่ได้พูดตั้งแต่ต้นว่าจะไม่สามารถทำได้ภายใน 99 วันก็คือเรื่องของกฎหมายในการตั้งสำนักงาน เราก็ได้ใช้วิธีการตั้งคณะรัฐมนตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ และจะผลักดันกฎหมายในสมัยประชุมที่จะเริ่มต้นขึ้น ที่จริงเริ่มต้นขึ้นในเดือนนี้ เพื่อที่จะเดินหน้าในเรื่องนี้ต่อไป
***ลั่นเศรษฐกิจจะฟื้นเป็นรูปตัววี
นายกฯ กล่าวถึงผลตอบรับที่ดีจากนโยบายด้านเศรษฐกิจว่า การรายงานตัวเลขทาง เศรษฐกิจในอดีตเรามักจะดูตัวเลขเปรียบเทียบปีต่อปี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ปกติ เข้าใจได้ แต่ในภาวะวิกฤตที่มีความเปลี่ยนแปลงความผันผวนมากนี้ การจะดูแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร จะต้องดูตัวเลขไตรมาสต่อไตรมาส และเดือนต่อเดือน ซึ่งพอเรามาดูตัวเลขตรงนี้คิดว่าเราจะเห็นภาพ ชัดเจนขึ้นว่า สิ่งที่รัฐบาลได้ทำไปกับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลก กำลังส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างไร นี่คืออัตราการเติบโตของ GDP เทียบไตรมาสต่อไตรมาส ซึ่งเป็นวิธีการคำนวณที่นิตยสารทางด้านเศรษฐกิจธุรกิจได้ใช้คำนวณกับประเทศ อื่น ๆ มาบ้างแล้ว ถ้าดูจากตัวเลขจะบ่งบอกชัดเจนว่าเราได้ผ่าน จุดต่ำสุดไปแล้วจริง ๆ แล้วขณะนี้กำลังมีแนวโน้มของการขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างเร่งตัวขึ้นมาพอ สมควร ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขาก็จะพูดว่าเป็นการฟื้นฟูแบบตัว V คือลงเร็วแล้วก็ขึ้นค่อนข้างเร็ว
แต่ไม่ใช่เฉพาะตัวเลขตัวนี้เท่านั้นถ้าไล่ดูตัวเลขอื่นๆ ที่ตามมา จะบ่งบอกสัญญาณในลักษณะเดียวกันทั้งสิ้น เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ถ้าเทียบในลักษณะของไตรมาสต่อไตรมาสก็จะเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างชัดเจน อัตราการใช้กำลังการผลิตก็กำลังผงกหัวขึ้นมา และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ดัชนีการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน ซึ่งอันนี้คือเป้าหมายหลักของบรรดามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกน ว่าจะสามารถหยุดยั้งการทรุดลงของสถานการณ์และกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่ม ขึ้น ขณะนี้ก็เริ่มมีสัญญาณที่ดีเช่นเดียวกัน รายได้การจัดเก็บภาษี มูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะสัมพันธ์กับเรื่องการบริโภคขณะนี้การฟื้นตัวกำลังเริ่มขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องของการส่งออก ถ้าดูตัวเลขไตรมาสต่อไตรมาส เดือนต่อเดือน รวมไปถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม นอกจากนั้นในส่วนของอุตสาหกรรมดูอัตราการเติบโตของยอดขายรถยนต์ จักรยานยนต์ ก็เป็นแนวโน้มเดียวกันหมด และขณะเดียวกันการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสมาคมบริษัทจดทะเบียน
"ถ้าถามถึงว่ามีสัญญาณการฟื้นตัวภาคการลงทุน มองไปข้างหน้า แล้วก็มองผลงานของรัฐบาลกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการยืนยันครับว่า 6 เดือนที่ผ่านมาผมทราบดีว่าเป็นช่วงที่ทุกคนยากลำบากที่สุดจากวิกฤตเศรษฐกิจ ครั้งนี้ แต่ผมมั่นใจว่าจุดเลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว แล้วขณะนี้จากการวางแผนที่ ต่อเนื่องในเรื่องมาตรการของเศรษฐกิจนั้น จะทำให้การฟื้นตัวเกิดขึ้น และเราได้เตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจหลังการฟื้นตัวแล้วด้วย นี่คือภาพรวมเศรษฐกิจ"
สำหรับบทบาทของการเป็นประธานอาเซียน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องใช้เวลาพอสมควรในการไปสื่อสารกับต่างประเทศ ที่เห็นแต่ข่าวร้ายจากประเทศไทยมาโดยตลอดระยะเวลาหลายปี และก็สามารถดำเนินการหลายเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะประธานของอาเซียน ที่จะมีบทบาทในภูมิภาค ที่จะมีบทบาทในฐานะตัวแทนของภูมิภาคในเวทีโลกด้วย แน่นอนมีช่วงเหตุการณ์เดือนเมษายน ที่ยังคงเป็นปัญหา แล้วก็ในส่วนของปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาในกว่า 100 ประเทศในขณะนี้ ก็ยังเป็นจุดที่เราจะต้องเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาภาพลักษณ์ในส่วนนี้ต่อไป
"ผมมั่นใจว่าจะทำให้เรามองเห็นว่าในอนาคตข้างหน้านั้น เราได้ก้าว ผ่านพ้นช่วงที่เลวร้ายที่สุด และกำลังกลับเข้าสู่การฟื้นตัวอย่างแท้จริง แต่ผมอยากจะเรียนต่อไปครับว่า สิ่งที่สัญญาแล้ว ทำได้แล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราสัญญาและจะสัญญาจะทำ แล้วก็จะทำให้เห็นให้เป็นผลอีก จะเป็นเรื่องใหญ่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย"
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวถึงนโยบายและมาตรการต่างๆ ที่เตรียมจะดำเนินการ คือ เรื่องของระบบสวัสดิการชุมชน การขยายระบบประกันสังคม การออมสำหรับชราภาพ และเรื่องของบำนาญที่ในอนาคตคนไทยทุกคนจะได้สิทธินี้ การทำโฉนดชุมชน การขยายบ้านมั่นคง การปรับปรุงภาษีทรัพย์สินและที่ดิน ตั้งกองทุนธนาคารที่ดิน การปัญหาที่ทำกิน -หนี้สินผ่านกองทุนฟื้นฟู และผ่านโครงการธนาคารต้นไม้และโครงการอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการปรับเปลี่ยน ปฏิรูประบบการแทรกแซงราคาพืชผล การเดินหน้าเรื่องความมั่นคงในการจัดหาพลังงาน การส่งเสริมพลังงานทดแทน การสนับสนุนให้เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ การปรับปรุงระบบการบริการของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเอกชนทั้งหมด ซึ่งงานต่างๆ เหล่านี้ ได้เริ่มต้นแล้วทั้งสิ้น และเป็นงานที่มีแผน มีทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งจะได้เร่งรัดต่อไป
***เอาชีวิตเข้าแลกสงกรานต์เลือด
สำหรับประเด็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในประเทศ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทราบดีว่าความขัดแย้งทางการเมืองยังไม่หมด และรู้ว่าความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมืองไม่มีทางหมดไป เพราะนั่นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของสังคมทั่วไป และเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องสร้างสังคมประชาธิปไตย แต่ก็อยากจะยืนยันว่าสิ่งที่ได้พูดตั้งแต่วันแรกในเรื่องของการปก ป้องสถาบันหลักของชาติ ในเรื่องของการสร้างความสมานฉันท์ เราได้ทำอย่างเต็มที่ แต่เราทำบนความรอบคอบระมัดระวัง ไม่ใช่ทำในลักษณะซึ่งจะตกเป็นเหยื่อของคนที่ต้องการจะเห็นความขัดแย้งขยายวง ไปสู่สถาบันต่าง ๆ และต้องการให้เกิดความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น
"เหตุการณ์เดือนเมษายนเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีต่อแนวคิดและแนวปฏิบัติของ รัฐบาลชุดนี้ ซึ่งผมและคณะรัฐบาลยึดถืออย่างเคร่งครัด ว่าไปแล้วพวกเราบางคนก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็รักษาตรงนี้ไว้บนพื้นฐานของหลักการในการเคารพความแตกต่างและสิทธิ เสรีภาพของประชาชนอย่างดีที่สุด ผมมั่นใจครับว่าแม้ความขัดแย้งยังมีอยู่ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองจะต้องมีต่อไป แต่แนวทางที่รัฐบาลได้ยึดถือมา และจะยึดถือปฏิบัติต่อไป รวมทั้งความก้าวหน้าในการทำงานร่วมกับระบบรัฐสภาในการแก้ปัญหาทางการเมือง เช่นเรื่องของรัฐธรรมนูญจะเป็นคำตอบให้กับสังคมได้ในที่สุด” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า ขอยืนยันและสัญญาว่าการทำงานของตนและคณะรัฐมนตรีจะต้องทำงานหนักขึ้น จะต้องทำงานแข่งขันกับเวลามากขึ้น จะต้องทำเรื่องยาก ๆ ที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระยะยาว ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโครงสร้างมากขึ้น และจะยังคงยึดถือประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ และหลักการประชาธิปไตย และความซื่อสัตย์สุจริตเป็นธงนำในการทำงานต่อไป ทั้งหมดนี้เป็นคำมั่นสัญญาด้วย และเหมือนกับหลายเรื่องที่เราเคยสัญญาและเราได้ทำแล้วใน 6 เดือน สิ่งที่สัญญาในวันนี้เราจะทำให้สำเร็จต่อไปสำหรับคนไทยทุกคน
***เครือสหพัฒน์ให้คะแนน 9 เต็ม 10
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า จากการทำงานรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ผมประเมินให้คะแนนไม่น้อยกว่า 9 จากคะแนนเต็ม 10 เพราะต้องเข้าใจว่า เวลาบริหารงานของที่มันเสีย ก็ต้องให้เวลาในการกลับมาทำให้ดีขึ้น แต่ประเทศจะรอให้ภาครัฐบาลผลักดันอย่างเดียวไม่ได้ ทุกฝ่ายทั้งจากภาคเอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกัน ส่วนเรื่องเร่งด่วนในขณะนี้ที่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาดำเนินการ คือ การแพร่ระบาดไข้หวัด 2009 ตนถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤต โดยอยากให้มีการรณรงค์ให้คนไทยสวมหน้ากากอนามัย เพื่อลดการแพร่เชื้อ
ด้านนายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีอาร์ซี เพาเวอร์ รีเทล จำกัด และบริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มีความตั้งใจในการทำงานได้ดี แต่ถือว่าเป็นการทำงานที่อยู่ในขั้นตอนของการเริ่มต้น ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อยู่ในระหว่างการวางแผนมากกว่า อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลใช้เงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือบริหารประเทศที่ถูกต้อง ไม่โกงกิน คิดว่าภาวะเศรษฐกิจและประเทศน่าจะกลับสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนปัจจัยที่น่าเป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงจากการแบ่งสี.