xs
xsm
sm
md
lg

เลิกกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ลดภาระประชาชน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
โดย โชกุน




ยุคน้ำมันแพงกลับมาแล้ว รอบนี้ บริษัทน้ำมันปรับราคากันแบบก้าวกระโดด ทีละ 80 สตางค์ ต่อลิตร ขณะที่รอบที่แล้ว เมื่อปีกว่าๆที่ผ่านมา ยังปรับกันแบบเกรงใจ ครั้งละ 40 สตางค์เท่านั้น ทำให้ราคาน้ำมันบ้านเรา ตอนนี้ น้ำมันดีเซลตกลิตรละ 29 บาท 70 สตางค์แล้ว ส่วนแก๊สโซฮอล์ 95 ขึ้นไปถึงลิตรละ 32 บาทกว่า

การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ( กพช.) วันนี้ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะ เป็นประธาน หากเป็นไปตามข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ ก็คงจะมีการลดอัตราเงินที่เก็บจากน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และแก๊ซโซฮอลล์ ลิตรละ 50 สตางค์ เพื่อส่งเข้ากองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับนำไปสร้างระบบขนส่งมวลชนในอนาคต นอกเหนือจากการลดเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันลดลงไปลิตรละ 1-2 บาท

การเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำไปสร้างระบบขนส่งมวลชน เป็นการตัดสินใจที่ง่ายเกินไป และคำนึงถึงแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

มาตรการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อนำไปสร้างรถไฟฟ้า เกิดขึ้นในสมัยที่นายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ปัจจุบัน เงินก้อนนี้มีอยู่ราวๆ 5-6 พันล้านบาท หากเก็บต่อไป อีกไม่นาน ก็คงมากพอที่จะสร้างรถไฟฟ้าได้เพิ่มอีกสาย โดยไม่ต้องกู้เงินจากต่างประเทศ ถือเป็นการอนุรักษ์พลังงานอย่างยั่งยืน และเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก

ราคาน้ำมันของเรานั้น มีต้นทุนประมาณ 30-40 % ที่เป็นค่าภาษีประเภทต่างๆ และเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนซึ่งมีอยู่ 2 กองทุน คือ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน

กองทุนทั้ง2 กองนี้ เอาเงินไปทำอะไร สำหรับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น บทบาทเห็นได้ชัดคือ เข้าไปแทรกแซงราคา ถ้าน้ำมันแพงมาก กองทุนก็เข้าไปอุ้ม โดยเอาเงินที่เก็บไปจากผู้ใช้น้ำมัน ไปชดเชยราคา

ส่วนกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานนั้น หนักไปในทางโฆษณา ประชาสัมพันธ์ อย่างเช่น โครงการพลังงานหาร 2 โครงการบ้านประหยัดพลังงาน โครงการทูตพลังงาน เป็นต้น

ถามว่า คุ้มไหม กับการใช้เงินที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมัน แม้จะลิตรละ 4-5 สตางค์ แต่ปีหนึ่งก็เป็นเงินหลายร้อยล้าน บาท

สมัยที่ นายปิยะสวัสดิ์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานอีกเช่นกัน เคยระงับโครงการทูตพลังงาน ที่เป็นการคัดเลือกเด็กนักเรียนมาทำหน้าที่รณรงค์การประหยัดพลังงาน ซึ่งใช้งบประมาณปีละ 30 กว่าล้านบาท บริษัทเจเอสแอล ได้รับการคัดเลือกให้ทำโครงการมา 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งนายปิยะสวัสดิ์เห็นว่า เป็นการสิ้นเปลือง เพราะทำไปแล้ว ไม่เห็นได้อะไร

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ก็ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ โครงการทูตพลังงานนี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งในหลายๆโครงการ ของ การใช้เงินที่หักคอผู้ใช้น้ำมันไปเข้ากองทุนฯ

กองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานนั้น เป็นเหมือนกระเป๋าส่วนตัวของผู้บริหารกระทรวงพลังงานและ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ( สนพ)เอาไว้ใช้ตีปี๊บ ประชาสัมพันธ์ผลงานผ่านสื่อ โดยมีบริษัทเจ้าประจำผูกขาดอยู่ไม่กี่เจ้า มูลค่าโครงการแม้จะอยู่ระดับ 5-10 ล้านบาท แต่ก็มีปริมาณโครงการอยู่มาก

อันว่า โครงการประเภท “ รณรงค์, สร้างจิตสำนึก ,สร้างความรับรู้, ให้ตระหนักรู้” นั้น วัดผลยากว่าได้ผลคุ้มกับเงินที่จ่ายไปไหม ถ้าไปถามหน่วยงานที่รับผิดชอบ ก็คงงัดเอาตัวเลขมาแสดงว่า รณรงค์มากี่ปี ประหยัดพลังงานไปได้ กี่ร้อยล้านบาท คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม แต่มันเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เป็นได้แค่ตัวเลขที่เอาไว้คุย

นอกจากเงินที่ใช้ไปเพื่อการตีปี๊ปแล้ว กองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์ ยังให้เงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาวิจัย พลังงานทดแทน พลังงานทางเลือก ให้เงินสำหรับทำโครงการพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน แต่ไม่ปรากฏว่า การศึกษา การวิจัย และโครงการที่ใช้เงินจากกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์ มีผลอย่างไรในเชิงโครงสร้างต่อ การจัดหาและการใช้พลังงานของประเท ศ สามารถคิดค้น สร้างนวตกรรมด้านพลังงานอะไรได้บ้าง

หาก กพช. มีความจริงใจที่จะลดความเดือดร้อนของประชาชนจากราคาน้ำมันแพงแล้ว เงินกองทุนที่เก็บไปจากผู้ใช้น้ำมันที่สมควรจะเลิกเก็บเสีย ก็คือ เงินที่เก็บเข้ากองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่เอาไปใช้ในโครงการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่เงินส่วนที่กันเอาไว้ใช้สร้างระบบขนส่งมวลชน
กำลังโหลดความคิดเห็น