xs
xsm
sm
md
lg

“ประทิน” เยาะ “พี่เมียแม้ว” คลำหางตัวเองก่อนเป็นใหญ่เคยข้ามหัวใคร มีหน้าขอเป็น ผบ.ตร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ
“ประทิน” เยาะ “พี่เมียแม้ว” คลำหางตัวเองก่อนเป็นใหญ่เคยข้ามหัวใคร มีหน้าขอเป็น ผบ.ตร ชี้เป็นสิทธิขาดนายกฯ ตัดสินโยนหมวกให้ใครสวม เผยรู้สึกสงสาร ตร.น้ำดี มีผลงานแต่ไม่เข้าตาผู้ใหญ่ ด้าน “ยะใส” พุ่งเป้ารัฐแก้ปัญหา “พัชรวาท” ไม่ตก ทำได้แค่ประคองเรือไม่ให้ล่มเท่านั้น แจง ความคืบหน้าพรรค ก.ม.ม.มีสมาชิกแล้ว 3,000 กว่าคน เตรียมเปิดประชุมใหญ่วันที่ 26-27 ก.ย.นี้ ยันทำทุกกระบวนการโปร่งใส สมเป็นความหวัง ปชช.


คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ“คนในข่าว

รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 6 สิงหาคม 2552 โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งได้รับเกียรติจาก พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ และนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดถึงเรื่องศึกสีกากี และฎีกาเถื่อน

พล.ต.อ.ประทิน กล่าวถึงความบกพร่องของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ว่า บกพร่องในหน้าที่ตั้งแต่กรณีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ชนิดไม่สามารถให้อภัยได้ เพราะเหตุการณ์เกิดตอนเช้าโดยรู้กันทั่วว่ามีคนเจ็บ แทนที่จะสั่งให้ระงับทันที แต่ยังปล่อยให้ตำรวจการระดมยิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนจนถึง 4-5 ทุ่ม ซึ่งถ้าเป็นตนแสดงความรับผิดชอบลาออกไปแล้ว และบกพร่องข้อที่สอง คือ การประชุมอาเซียนที่พัทยา ปล่อยให้เสื้อแดงบุกล้มการประชุมได้อย่างไร ทั้งที่มีทหารตำรวจประจำอยู่ถึง 8,000 คนก็ยังไม่สามารถสกัดกั้นคนเสื้อแดงที่มีแค่ 2,000 คนได้ รวมถึงเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย ที่ปล่อยให้เสื้อแดงเหิมกริมทุบรถนายกฯ อย่างอุกอาจ แม้กระทั่งเรื่องคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มาแต่งตั้งหัวหน้าพนักงานสอบสวนเอง เป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลไม่ไว้วางใจในการทำงานแล้ว ทำอย่างนี้เสมือนเป็นการดูถูกฝีมืออย่างแรง ด้วยเหตุนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ควรทบทวนถึงความบกพร่องที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องตัดสินใจลาออกได้แล้ว

“รัฐบาลมีอำนาจในการปลด แต่ที่ไม่ปลดก็เพราะว่าระบบการปกครองของไทยได้ยึดกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นหลัก การที่พรรคการเมืองใดจะได้เป็นรัฐบาลจะต้องมี ส.ส.เสียงข้างมากในสภา ทำให้ต้องพึ่งพาพรรคอื่นเข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตาม แต่เมื่อบริหารประเทศไปแล้ว เห็นว่าอะไรจำเป็นต้องทำเพื่อประเทศชาติก็ต้องทำ เช่นกรณี ผบ.ตร. ที่ตนได้กล่าวก่อนหน้านี้มันเห็นได้ชัด ดังนั้น นายกฯ จะย้ายหรือเอาตัวมาช่วยราชการ ก็สามารถทำได้มีเพราะอำนาจตามกฎหมาย ไม่ควรเกรงใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” พล.ต.อ.ประทิน กล่าว

พล.ต.อ.ประทิน กล่าวถึงการที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาบอกว่าตนเองก็มีผลงานมากมาย สมควรจะได้เป็น ผบ.ตร. แต่ถูกการเมืองสกัดกั้นเพียงเพราะว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นน้องเขยว่า เรื่องนี้ต้องดูตามกฎหมาย เพราะกฎหมายบอกให้นายกฯ เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้ง ผบ.ตร.โดยตรง จะมอบให้ใครเสนอไม่ได้ ดังนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะมาบอกว่าตนเหมาะสมมากกว่าไม่ได้ เพราะทุกคนย่อมว่าตนเองเหมาะสมเสมอ อย่างไรก็ดี ที่บอกว่าเหมาะสมนั้น ให้ลองย้อนกลับไปดูว่าตอนที่เป็นพันเอกยศขึ้นพรวดๆ นั้นได้ข้ามหัวใครมาบ้าง

พล.ต.อ.ประทิน กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นตำรวจ บอกตรงๆ ว่าอายประชาชนไม่อยากเอาเรื่องตำรวจมาพูด ที่มีการซื้อขายตำแหน่ง สงสารตำรวจดีๆ มีฝีมือในการทำงาน แต่ไม่เจริญเติบโต เพราะไม่ยอมเสียเงินวิ่งเต้นต่อรองตำแหน่ง อย่าง พล.ต.อ.วันชัย ศรีนวลนัด เป็นนายตำรวจที่ดี จบนักเรียนนายร้อย และจบเนติบัณฑิต คนนี้สมควรได้เป็นใหญ่เป็นโตอย่างสูงสุดในวงการตำรวจ แต่ก็ต้องลาออกไปเป็นกรรมการสิทธิฯ และพล.ต.อ.ธานี ก็เป็นคนดี ไม่เคยกินนอกกินใน พร้อมกล่าวชื่นชมนายกฯ ที่นำ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.เข้ามาคลี่คลายคดียิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

“คดีใหญ่ๆ ย่อมมีอุปสรรคเสมอ หากตั้งใจทำเอาจริงเอาจัง มันจะเป็นตอก็ขุดหรือจะเป็นหินก็ยกมันทิ้งไปเสีย เพราะเรามีอำนาจตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่มีอะไรจะอยู่เหนือกฎหมายได้” พล.ต.อ.ประทิน กล่าว

พล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่า ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของกลุ่มเสื้อแดงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะการจะถวายฎีกาได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องกลับมาติดคุกก่อน ถึงมีสิทธิขอพระราชทานอภัยโทษ โดยผ่านผู้บัญชาการเรือนจำตามขั้นตอนไป อย่างไรก็ตามหากเป็นลูกผู้ชายพอ ต้องกล้าเข้ามารับโทษ ส่วนการที่กระทรวงมหาดไทยออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีในการล่ารายชื่อคัดค้านฎีกาเสื้อแดง ตนไม่เห็นด้วย เพราะจะเป็นการสร้างความวุ่นวายเพิ่มขึ้น ทั้งที่เรื่องนี้เป็นหน้าที่ตำรวจต้อง ดูว่าฎีกาดังกล่าวเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงหรือไม่ หากหมิ่นก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย

นายสุริยะใสมองการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลาไปราชการต่างประเทศแล้วเอา พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร. ขึ้นมาทำหน้าที่แทน ว่า เป็นการสะท้อนภาพลักษณ์ของรัฐบาลว่าไปไม่ได้แล้ว ทำทุกอย่างเพื่อประคองฐานะ อีกด้านหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อตำรวจ มันถึงจุดที่ตกต่ำที่สุด ทั้งนี้จะว่าไปแล้วในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็มีปัญหาให้คิดเหมือนกันว่าจะให้การเมืองมีความสัมพันธ์กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแค่ไหน เพื่อไม่ให้กลายเป็นรัฐตำรวจหรือเครื่องมือทางการเมือง เพราะที่มองดูแล้วขณะนี้การกำกับตำรวจบางทีเป็นไปเพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล

นายสุริยะใสกล่าวอีกว่า การที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาพูดผ่านสื่อ ว่า ตนควรเป็น ผบ.ตร. กับกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท ที่มีเหตุสมควรปลดแต่ไม่โดนปลด มันเป็นภาพสะท้อนให้เห็นอำนาจมืดเหนือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้หากนายกฯไม่กล้าจัดการ ก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันตำรวจดีๆ ไม่เกิด พอไม่เกิดวิธีแก้ปัญหาง่ายที่สุดก็คือ ถ้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทำผิดก็จะอาศัยบารมีนักการเมืองเข้าคุ้มครอง ส่งผลให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีตำรวจดีๆไม่ทำงาน

นายสุริยะใสกล่าวถึงยุทธศาสตร์ของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ในการล่ารายชื่อยื่นถวายฎีกา โดยมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้ไม่มีต้นทุนทางสังคม แถมยังมีคดีติดตัวอีกต่างหากไปเป็นหัวโจก เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อก่อให้เกิดความรุนแรง หวังสร้างสถานการณ์มีเป้าหมายต่อต้านเบื้องสูง อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า ลำพังคน 4-5 ล้าน ไม่สามารถกดดันเบื้องบนหรือเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ เว้นแต่จะมีการจัดตั้งกันอย่างลับๆระหว่างนายทหารหรือผู้มีอำนาจบางกลุ่ม เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

“การถวายฎีกา กับประชาธิปไตย เป็นคนละเรื่องกันหรือไม่ จริงๆ เรื่องนี้ต้องกลับไปถามพรรคเพื่อไทยหรือกลุ่ม นปช.ที่เคยโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมัยเป็นฝ่ายค้านว่า เป็นมาร์ค ม. 7 เพราะเคยสนับสนุนเรื่องทางออกของประเทศ ช่วงปี 2549 โดยให้ใช้ช่องทางมาตรา 7 แก้ไข ด้วยเหตุนี้จึงต้องย้อนกลับไปถาม น.ป.ช. ว่าการที่คุณเคยโจมตีว่าบ้านเมืองนี้มีผู้มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญ แต่ตอนนี้คุณกำลังจะพึ่งพิงระบบที่คุณวิจารณ์นี้ ดังนั้นการกระทำของคนเสื้อแดงปัจจุบันเข้าทำนองว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองหรือไม่” นายสุริยะใส กล่าว

นายสุริยะใสกล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ไม่ว่าจะประเด็นลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ได้ทำ เพื่อต้องการเรียกคะแนนให้พรรคการเมืองใหม่ แต่เป้าหมายที่แท้จริง คือ เรียกร้องบรรทัดฐานของความเป็นธรรมให้คงอยู่กับประเทศ ส่วนประเด็นพันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหวต่อต้านการถวายฎีกาของกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีการประชุมกัน ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เห็น ว่า ไม่จำเป็นต้องออกมาตอบโต้ เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรง ที่จะต้องหยุดกระบวนการจาบจ้วงเหล่านี้

นายสุริยะใสกล่าวถึงความคืบหน้าของพรรคการเมืองใหม่ว่า ขณะนี้มีสมาชิกพรรคแล้วกว่า 3,000 กว่าคน ส่วนสาขาที่เปิดอย่างเป็นทางการในภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดจันทบุรี ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดภูเกต จังหวัดสุราษฎร์ธานี และในภาคอีสาน ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี ส่วนสาขาในภาคเหนือจะมีการประชุมใหญ่วันที่ 7 ส.ค. นี้ ดังนั้นก็จะครบทั้ง 4 ภาค เหลือแต่เพียงรอรับสมัครสมาชิกให้ครบ 5,000 คน อย่างไรก็ตามตนคาดจะสามารถเปิดประชุมใหญ่ได้ในวันที่ 26-27 กันยายน นี้

“เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุด และมีประสิทธิภาพสมกับเป็นความหวังใหม่ของประชาชน การสรรหาสมาชิกพรรคนั้น ตนได้ย้ำกับกรรมการสาขาพรรคว่า คนที่จะมาเป็นสมาชิกพรรคต้องใจเต็มร้อย หากใครยังลังเล ก็อย่าไปกดดันหรือหว่านล้อมเขา เมื่อเห็นว่าพรรคการเมืองใหม่ยังไม่ดีพอ ก็ไม่ต้องมา เพราะจะทำให้ขาดประสิทธิภาพในการทำงานตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กตะศิลา
กำลังโหลดความคิดเห็น