xs
xsm
sm
md
lg

“วิชา” เผยอุปสรรคคดี 7 ต.ค. โดนข่มขู่ ฟ้องกลับ จนลูกน้องถอดใจไม่ทำคดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ป.ป.ช. เพิ่มโทษ "พัชรวาท" ขีดเส้นแจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน3 ส.ค. นี้ คาดชี้มูลได้ประมาณ กลางเดือนหน้า ย้ำไม่คิดยืดคดี "วิชา"เผยเเคยเป็นปธ.อนุกรรมการไต่สวนแล้ว ถูกข่มขู่ ฟ้องร้อง ถูกดำเนินคดี ทำให้ลูกน้องถอดใจกันหมด จนต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการใหญ่พิจารณาแทน




รายการ “รู้ทันประเทศไทย” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน วันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 18.30-20.00 น. สำหรับวันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2552 โดยมี ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายสันติสุข มะโรงศรี ดำเนินรายการในช่วงสนทนาได้รับเกียรติจาก นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มาร่วมพูดคุยในประเด็นความคืบหน้าคดีเจ้าหน้าที่ใช้กำลังสลายผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ส่วนในช่วงมุมมองเจิมศักดิ์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไดรับเกียรติจาก ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวร และทราย-อินทิรา เจริญปุระ นักแสดงและนักเขียน ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับอำนาจภาษากับวิกฤษการเมือง

นายวิชา กล่าวว่าวันนี้ที่ ป.ป.ช. มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม 2 คน พร้อมกับมีมติเพิ่มข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรง และผิดประมวลกฎหมายอาญา กับผู้ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาก่อนหน้านี้ อีก 1 คน ไม่ใช่การชี้มูล แต่เป็นกระบวนการพิจารณาเบื้องต้นว่า ข้อมูลหลักฐานที่รวบรวมเพียงพอที่จะทำสำนวนชี้มูลได้หรือไม่ ทั้งนี้เมื่อได้เอาข้อมูลให้คณะกรรมการอ่าน ได้มีมติเห็นว่าข้อมูลยังไม่ถูกต้อง เพราะมีหลักฐานบางอย่างชี้ให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่บางท่านต้องรับผิดสูงกว่าข้อกล่าวหาเดิมที่แจ้งไว้ ซึ่งผู้ที่ต้องรับผิดสูงกว่านี้ นายวิชา บอกว่าไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใครเพราะที่ประชุมมีมติห้ามพูดว่าเป็นใคร ส่วนสื่อหรือใครอยากรู้ก็ไปหาข้อมูลเอาเอง อย่างไรก็ดีผู้สื่อข่าวได้เปิดเผย ว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบหนักขึ้นในคดีนี้คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ข้อกล่าวหาแต่แรกเป็นการกล่าวหา คลุมๆ แค่บอกว่าใครเป็นผู้สั่งการ ใครเป็นผู้กระทำ และให้เอาตัวมาลงโทษ ไม่ได้ระบุว่าผิดฐานใด ส่วนจะลงโทษข้อหาอะไรเป็นเรื่องของคณะกรรมการ ทั้งนี้หลังจาก ป.ป.ช.สอบพยานแต่ละคน แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เห็นว่าคนที่ต้องรับผิดจริงๆ คือ นักการเมืองที่เกี่ยวข้อง คือ 1.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี 2.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี และตำรวจที่เกี่ยวข้องได้แก่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบช.น. พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น.

นายวิชา กล่าวถึงสาเหตุที่ต้องตั้งข้อกล่าวหา พล.ต.อ.พัชรวาท เพิ่มเติม เพราะพบเอกสารหลักฐาน จากถ้อยคำที่ผู้ต้องหาพาดพิงถึง และคำสั่งที่เพิ่งเห็นทีหลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ต้องรับผิดชอบเต็มที่ ดังนี้เมื่อเพิ่มข้อกล่าวหาแล้ว ป.ป.ช.ก็ต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ และผู้ถูกกล่าวหาจะต้องเข้ามาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาใหม่ภายในวันที่ 3 ส.ค.นี้ หากไม่มาชี้แจงถือว่ายอมรับข้อกล่าวหาที่ป.ป.ช.ตั้งเพิ่มเติม อย่างไรก็ดีตนมั่นใจว่า พล.ต.อ.พัชรวาท จะมาชี้แจงข้อกล่าวหานี้อย่างแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้เคยโดนกล่าวหาผิดวินัยไม่ร้ายแรง ก็ยังแก้ข้อกล่าวหาเป็นรายลักษณ์อักษร

นายวิชา กล่าวว่า ป.ป.ช.มีอำนาจตามกฎหมายที่จะให้ พล.ต.อ.พัชรวาท มาชี้แจงข้อกล่าวหา หากไม่มาก็เสียสิทธิ หรือถ้ามาแล้วไม่อยากชี้แจงจะเลื่อนหรือสู้อย่างไร คณะป.ป.ช.จะประชุมเองว่ามีเหตุผลสมควรหรือไม่ อย่างในระหว่างการไต่สวน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ไปร้องต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ว่า ป.ป.ช.ไม่ให้ดูหลักฐาน พร้อมข้อให้คณะกรรมการเรียกให้ ป.ป.ช.เอาข้อมูลมาให้ดู เมื่อป.ป.ช.ประชุมคณะกรรมการแล้วเห็นว่า หากนายสมชาย ดูเองก็สามารถให้ดูได้ แต่ถ้าจะให้หอบหลักฐานไปให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารคงทำไม่ได้ เพราะว่าอยู่ในระหว่างการไต่สวน ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ไม่ว่า ป.ป.ช. จะถูกกดดัน ถูกบังคับจากองค์กรไหน เราก็ยังทำหน้าที่ต่อตามปกติ

“คดีนี้เกี่ยวข้องทั้งนักการเมือง ตำรวจ ที่ย่อมมีลูกเล่นหรือทำให้เกิดผลกระทบต่อการทำหน้าที่ แต่ไม่กังวลเพราะเราเจอมาตั้งแต่ต้น ซึ่งแรกเริ่มตนเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน ทำคดีแล้วถูกร้อง ถูกดำเนินคดี จนหลายคนถอดใจกันหมด ในที่สุดคณะกรรมการใหญ่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องเข้ามารับช่วงแทน นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คดีล่าช้า อย่างไรก็ดีเราไม่ได้หวั่นไหวยังคงทำหน้าที่ต่อ และยืนยันว่าการทำคดีนี้ไม่มีหนอนบ่อนไส้ ตนไว้ใจผู้ร่วมทำคดีทุกคน ส่วนคณะ ป.ป.ช. ก็ไม่ได้สงสัยใคร และจะไม่มีวันตั้งข้อสงสัยใครเพราะเราต้องทำงานร่วมกัน” นายวิชา กล่าว

นายวิชา กล่าวว่า คณะป.ป.ช.จะชี้มูลได้อย่างเร็วประมาณ กลางเดือนสิงหาคม เพราะต้องรวบรวมเอกสารและต้องทำให้รอบคอบ ส่วนที่หลายคนมองว่า ป.ป.ช.ยืดเวลาให้รอให้ พล.ต.อ.พัชรวาท เกษียร ตนไม่อยากให้มองโลกในแง่ร้าย เหตุที่ล่าช้าเพราะมีข้อมูลเยอะมาก อีกอย่างถ้าไต่สวนแบบอนุกรรมการจะเร็วกว่านี้ แต่คดีนี้ไต่สวนโดยคณะกรรมการใหญ่ทั้งชุด 9 คน ซึ่งต้องรอให้พร้อมตรงกันจริงๆถึงจะทำการไต่สวนได้ และถ้าหาก ป.ป.ช.ชี้มูล คดีนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ คงไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ต้องดำเนินตามหลักทางวินัยของตำรวจ ซึ่งก็แล้วแต่ผู้บังคับบัญชาการสูงสุดจะสั่งประการใด

อำนาจภาษากับวิกฤษการเมือง

ดร.อนันต์ กล่าวว่า คนที่สามารถใช้ภาษาได้อย่างดีก็จะครองอำนาจ ซึ่งถ้าหากทุกคนถ้านั่งนิ่งๆแล้วฟัง จะไม่รู้เลยว่า ใครฟังได้เก่งหรือไม่เก่ง และทักษะภาษาเป็นอย่างไร แต่ถ้าอ้าปากพูดมาคำเดียวก็จะรู้เลยว่าทักษะของคนคนนั้นเป็นอย่างไร อย่างคนที่ใช้ภาษาได้ดี ก็จะสามารถสะกดคนอื่นให้ฟัง ให้คล้อยตาม ให้เชื่อ จนกระทั่งเป็นเหมือนสาวกของตัวเอง สั่งให้ทำอะไรก็ได้ จนมีคัมภีร์ หิโตปเทศ ของอินเดียโบราณ ระบุในสุภาษิตบทหนึ่งบอกว่า "คนโง่ที่แต่งกายงดงาม นั่งโดดเด่นอยู่ในที่ประชุมของเหล่านักปราชญ์ คนโง่คนนั้นก็จะงามสดใสอยู่นานตราบเท่าที่ไม่เอ่ยทำใดๆออกมา"

ดร.อนันต์ กล่าวต่อว่า พูดง่ายกว่าเขียน เพราะการพูดเราสามารถใช้ภาษากายช่วยประกอบการพูด น้ำเสียง การเน้นจังหวะ สื่อได้มีประสิทธิภาพมากกว่า ในขณะที่เขียนไม่สามารถเน้นเสียงตรงไหน หรือให้ความสำคัญตรงไหนแม้ว่าในกระบวนการเขียนอาจจะมีเครื่องหมายประกอบการเขี่ยนช่วย แต่ก็ช่วยได้ไม่ดีเท่ากับการพูด นอกจากนี้ยังต้องระมัดระวังตัวมากกว่าทำให้รู้สึกยากกว่า

ดร.อนันต์ กล่าวถึงวันภาษาไทยแห่งชาติที่คนมักวิจารสื่อกับเยาวชน ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับภาษาไทยเป็นผลมาจากการศึกษาที่ล้มเหลว การศึกษาไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ใด ถ้าเป็นการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพมากพอ ผลก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างที่ปรากฎอยู่ในทุกวันนี้ ว่าวัยรุ่นจะใช้ภาษาที่ถูกตำหนิ และจะไม่เกิดปัญหาว่าเด็กไทยเท่านั้นเท่านี้อ่านหนังสือไม่ออก จริงๆแล้วคนที่อ่านไม่ได้มีจำนวนมากกว่าที่สำรวจพบหลายเท่า

ทราย-อินทิรา กล่าวถึง ตัวตนที่ถึงแม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ไม่ได้ใช้ภาษาที่วิบัติผิดแปลกไปเหมือนวัยรุ่นที่มักนิยมใช้ศัพท์แปลกๆ ซึ่งตรงนี้พ่อและแม่มีส่วน เพราะท่านชอบอ่าน แล้วทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ก็เลยถูกปลูกฝังให้ตนเป็นคนชอบอ่าน ทำให้เกิดทักษะมีแนวคิดติดกับภาษาที่ใช้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้เมื่อภาษาเป็นสื่อจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ก็เลยคิดว่าไหนๆจะใช้แล้วก็ต้องใช้ให้ดี อีกอย่างภาษาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ตนต้องในการประกอบอาชีพด้วย

ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล
อินทิรา เจริญปุระ
กำลังโหลดความคิดเห็น