ASTVผู้จัดการรายวัน-"พัชรวาท" อ่วมแน่ ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม จากผิดวินัยไม่ร้ายแรง เป็นผิดอาญา ม.157-วินัยร้ายแรง หลังโดนพวกกันเองซัดทอดพบตัวอยู่ในที่เกิดเหตุ และสั่งการให้สลายการชุมนุม"7 ตุลาเลือด" พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาอีก 2 นายพลตำรวจระดับ รอง ผบช.น. มีเอี่ยวด้วย นัดทั้ง 3 คน แก้ข้อกล่าวหา 3 ส.ค.นี้ "วิชา" เผยเหตุช้าเพราะถุกข่มขู่
นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกป.ป.ช. เปิดว่า หลังจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ได้พิจารณาสำนวนไต่สวนทั้งหมดในคดีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งมีนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช.เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน โดยทางกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ดังกล่าวอีก จึงมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมในวันดังกล่าว จำนวน 2 คน เนื่องจากเห็นว่าน่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ที่ประชุมป.ป.ช.ยังมีมติให้แจ้งโทษความผิดวินัยร้ายแรงเพิ่มเติมกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาอยู่แล้ว 1 คน จากทั้งหมด 7 คน คือ 1.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี 2. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี 3. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. 4. พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร. 5. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. 6. พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบช.น. 7.พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น.
ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการป.ป.ช. จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลทั้งสามทราบทันที (28 ก.ค.) เพื่อให้มาแก้ข้อกล่าวหาตามที่ป.ป.ช.กำหนดไว้ และคาดว่าคดีนี้จะเสร็จในเร็ววันนี้
**“พัชรวาท”โดนอาญา-วินัยร้ายแรง
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์ จากคณะกรรมการป.ป.ช.ที่เข้าประชุม 8 คน โดยมีกรรมการ ป.ป.ช. ลา 1 คน เนื่องจากอยู่ระหว่างการพักฟิ้นจากอาการป่วย
ทั้งนี้ นายตำรวจที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งสอง เป็นนายตำรวจระดับชั้นนายพล ซึ่งดำรงตำแหน่งรอง ผบช.น. ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสลายผู้ชุมนุม 7 ตุลาฯ ส่วนการแจ้งโทษวินัยร้ายแรง ตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยการละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต กับผู้ถูกกล่าวหาคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. หลังจากที่ก่อนหน้านี้ถูกกล่าวหา โทษวินัยไม่ร้ายแรง ฐานประมาทเลินเล่อ โดยสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนข้อหามาเป็น ผิดวินัยร้าย และ ความผิดทางอาญา มาตรา 157 เนื่องจากในสำนวนการให้ปากคำของผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คน มีหลักฐาน และพยานซัดทอดว่า พล.ต.อ.พัชรวาท อยู่ในที่เกิดเหตุ พร้อมกับสั่งการให้สลายการชุมนุมด้วย จึงทำให้ที่ประชุมมีมติให้เปลี่ยนข้อกล่าวหา
ส่วนรอง ผบช.น. ที่คณะกรรมการป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาประกอบด้วย พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ และพล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา โดยทั้ง 3 คน จะต้องเข้ามาแก้ข้อกล่าวหากับป.ป.ช. ในวันที่ 3 ส.ค. นี้ หลังจากนั้น คณะกรรมการป.ป.ช. จะรวบรวมสำนวนการไต่สวน และคาดว่าจะสามารถวินิจฉัยชี้มูลคดีได้ ภายในกลางเดือนส.ค.นี้
**วิชาเผยเหตุช้าเพราะถูกข่มขู่
นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการรู้ทันประเทศไทย ทางเอเอสทีวี กรณี ป.ป.ช.มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในคดีตำรวจใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 คือ เจ้าหน้าที่ระดับสูงสังกัดนครบาลทั้ง 2 นาย และนายตำรวจระดับสูงที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรงตามมาตรา 157 อีก 1 คน ว่า โดยในชั้นนี้ขอไม่พูดถึงตัวบุคคล แต่ขอชี้แจงการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในวันนี้ ยังไม่ได้ถือว่าเป็นการชี้มูล แต่ยอมรับมติในวันนี้ถือเป็นเอกฉันท์ เพราะได้เห็นข้อมูลและพยานหลักฐานเพิ่มเติม จึงต้องเพิ่มข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรงเพิ่มเติม โดยจะให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาต้องมาชี้แจงภายในวันที่ 3 ส.ค.แต่หากผู้ถูกกล่าวไม่มาชี้แจงก็ถือว่ายอมเสียสิทธิ์ และคาดว่า จะมีการชี้มูลประมาณกลางเดือนสิงหาคม
นายวิชา กล่าวยอมรับเหตุผลที่การสอลบสวนคดีการสลายการชุมนุม 7 ตุลาคมล่าช้า เนื่องจากคณะทำงานในชั้นอนุกรรมการถูกข่มขู่มาโดยตลอด จึงต้องนำขึ้นสู่ที่ประชุมใหญ่ และต้องดำเนินไต่สวนเองโดยคณะกรรมการชุดใหญ่ และหากชี้มูลแล้วว่ามีความผิดจริง คดีนี้ก็จะขึ้นไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกป.ป.ช. เปิดว่า หลังจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ได้พิจารณาสำนวนไต่สวนทั้งหมดในคดีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งมีนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช.เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน โดยทางกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ดังกล่าวอีก จึงมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมในวันดังกล่าว จำนวน 2 คน เนื่องจากเห็นว่าน่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ที่ประชุมป.ป.ช.ยังมีมติให้แจ้งโทษความผิดวินัยร้ายแรงเพิ่มเติมกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาอยู่แล้ว 1 คน จากทั้งหมด 7 คน คือ 1.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี 2. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี 3. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. 4. พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร. 5. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. 6. พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบช.น. 7.พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น.
ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการป.ป.ช. จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลทั้งสามทราบทันที (28 ก.ค.) เพื่อให้มาแก้ข้อกล่าวหาตามที่ป.ป.ช.กำหนดไว้ และคาดว่าคดีนี้จะเสร็จในเร็ววันนี้
**“พัชรวาท”โดนอาญา-วินัยร้ายแรง
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์ จากคณะกรรมการป.ป.ช.ที่เข้าประชุม 8 คน โดยมีกรรมการ ป.ป.ช. ลา 1 คน เนื่องจากอยู่ระหว่างการพักฟิ้นจากอาการป่วย
ทั้งนี้ นายตำรวจที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งสอง เป็นนายตำรวจระดับชั้นนายพล ซึ่งดำรงตำแหน่งรอง ผบช.น. ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสลายผู้ชุมนุม 7 ตุลาฯ ส่วนการแจ้งโทษวินัยร้ายแรง ตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยการละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต กับผู้ถูกกล่าวหาคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. หลังจากที่ก่อนหน้านี้ถูกกล่าวหา โทษวินัยไม่ร้ายแรง ฐานประมาทเลินเล่อ โดยสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนข้อหามาเป็น ผิดวินัยร้าย และ ความผิดทางอาญา มาตรา 157 เนื่องจากในสำนวนการให้ปากคำของผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คน มีหลักฐาน และพยานซัดทอดว่า พล.ต.อ.พัชรวาท อยู่ในที่เกิดเหตุ พร้อมกับสั่งการให้สลายการชุมนุมด้วย จึงทำให้ที่ประชุมมีมติให้เปลี่ยนข้อกล่าวหา
ส่วนรอง ผบช.น. ที่คณะกรรมการป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาประกอบด้วย พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ และพล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา โดยทั้ง 3 คน จะต้องเข้ามาแก้ข้อกล่าวหากับป.ป.ช. ในวันที่ 3 ส.ค. นี้ หลังจากนั้น คณะกรรมการป.ป.ช. จะรวบรวมสำนวนการไต่สวน และคาดว่าจะสามารถวินิจฉัยชี้มูลคดีได้ ภายในกลางเดือนส.ค.นี้
**วิชาเผยเหตุช้าเพราะถูกข่มขู่
นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการรู้ทันประเทศไทย ทางเอเอสทีวี กรณี ป.ป.ช.มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในคดีตำรวจใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 คือ เจ้าหน้าที่ระดับสูงสังกัดนครบาลทั้ง 2 นาย และนายตำรวจระดับสูงที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรงตามมาตรา 157 อีก 1 คน ว่า โดยในชั้นนี้ขอไม่พูดถึงตัวบุคคล แต่ขอชี้แจงการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในวันนี้ ยังไม่ได้ถือว่าเป็นการชี้มูล แต่ยอมรับมติในวันนี้ถือเป็นเอกฉันท์ เพราะได้เห็นข้อมูลและพยานหลักฐานเพิ่มเติม จึงต้องเพิ่มข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรงเพิ่มเติม โดยจะให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาต้องมาชี้แจงภายในวันที่ 3 ส.ค.แต่หากผู้ถูกกล่าวไม่มาชี้แจงก็ถือว่ายอมเสียสิทธิ์ และคาดว่า จะมีการชี้มูลประมาณกลางเดือนสิงหาคม
นายวิชา กล่าวยอมรับเหตุผลที่การสอลบสวนคดีการสลายการชุมนุม 7 ตุลาคมล่าช้า เนื่องจากคณะทำงานในชั้นอนุกรรมการถูกข่มขู่มาโดยตลอด จึงต้องนำขึ้นสู่ที่ประชุมใหญ่ และต้องดำเนินไต่สวนเองโดยคณะกรรมการชุดใหญ่ และหากชี้มูลแล้วว่ามีความผิดจริง คดีนี้ก็จะขึ้นไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง