อดีตนายกรัฐมนตรี ชี้ รัฐธรรมนูญไม่ได้สร้างประชาธิปไตย อย่าเรียกร้องแก้รธน.พร่ำเพรื่อ ระบุ ที่ผ่านมาชอบทำปฏิวัติแบบครึ่งๆ กลางๆ ปฏิเสธถ่อสังขารนั่ง หน.พรรคไข่แม้ว เลิกเพ้อฝันนั่งนายกฯคำรบสอง แนะรัฐบาลบางครั้งต้องเล่นบทสองหน้ากับนโยบายต่างประเทศ
วันนี้ (27 ก.ค.) พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวบรรยายกับนักศึกษา หลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 1 ของ กกต.ว่า เราหวังว่า ระบอบประชาธิปไตยจะนำมาซึ่งความก้าวหน้า แต่ผ่านมา 77 ปี แล้วกลับยังไม่ประสบความสำเร็จและไม่เคยเป็นประชาธิปไตยเลย แต่เป็นเผด็จการแบบอ้อมๆ หรือเผด็จการรัฐสภาที่มีการวิ่งเต้นซื้อตำแหน่งด้วยอำนาจเงิน กระทั่งทุกวันนี้ ทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลืองต่างชี้หน้ากันว่าไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง และที่ผ่านมา เราก็ทำการรัฐประหารเพื่อแก้ปัญหาและฉีกรัฐธรรมนูญกันอยู่อย่างนี้ ทำให้เรามีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก
“จนวันนี้ก็เราก็ยังต้องการรัฐธรรมนูญเพิ่มอีก ซึ่งบางครั้งปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ บางประเทศมีเพียงไม่กี่มาตราเท่านั้นก็อยู่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้สร้างประชาธิปไตย แต่ต้องมีประชาธิปไตยก่อนแล้วค่อยบันทึกไว้ในรัฐธรรมนูญ”
พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า ในวันนี้มีข้อเสนอแปลกๆ ขึ้นมา เพราะเห็นว่าการเมืองมีปัญหา จึงจะเสนอแยกอำนาจ โดยแยกการเลือกตั้ง ส.ส.ออกมา และให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง ซึ่งขอเตือนให้ระวังเรื่องนี้ เพราะขนาดวันนี้นายกฯเลือกมาจาก ส.ส.ก็ยังมีการอ้างว่ามาจากประชาชน 10 ล้านบ้าง 20 ล้านบ้าง หากเลือกตั้งโดยตรงคงยุ่งตายแน่ นอกจากนี้ บางคนยังเสนอให้เราเป็นระบบคล้ายสหพันธรัฐมลายูด้วยซ้ำไป โดยจะให้อยู่ภายใต้กษัตริย์พระองค์เดียว แต่แยกการปกครองเป็นมณฑล หากเป็นอย่างนี้จะยุ่งและมีปัญหาอย่างแน่นอน
พล.อ.ชวลิต ยังกล่าวถึงปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ ว่า คนใต้ 99% เป็นคนจงรักภักดี ตนอยู่มา 30 ปี รู้จักเขาดีตั้งแต่โครงการฮารับปันบารู เราให้ทหารเข้าทำงานในพื้นที่ สร้างความสัมพันธ์กับชาวบ้าน พอจะออกมาชาวบ้านกับทหารก็กอดกันร้องไห้ แต่มาวันนี้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ตามที่ตนได้คุยมาเขาขอเพียง 3 อย่าง คือ 1.เขาขออยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร 2.เขาต้องการสังคมภูมิบุตร ทุกคนอยู่ในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธ มุสลิม หรือ จีน อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และ 3.ขอดูแลตัวเอง ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายไทย วันนี้คนที่คิดไม่ดีกับประเทศยังมีอยู่ แต่น้อยและเราควบคุมได้ ซึ่งควรทำตามรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ซึ่งการพัฒนาไม่ใช่เพียงการเอาเงินลงไปเท่านั้น เรื่องนี้เสียดายที่น่าจะจบตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.2551 ที่ผ่านมา แต่บังเอิญที่ทุกอย่างมันยืดออกไป
พล.อ.ชวลิต กล่าวถึงกรณีความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ไม่ค่อยราบรื่นและคนกัมพูชามองไทยในแง่ที่ไม่ดี ว่า เป็นเรื่องในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระยาละแวก หรือเรื่องอื่นๆ แต่ความจริง ก็คือ กัมพูชายังมีความจำเป็นต้องพึ่งไทยอยู่มาก เหล้าก็กินเหล้าไทย บุหรี่ก็บุหรี่ไทย ทีวีก็ทีวีไทย หนังก็หนังไทย เขาต้องอาศัยไทยสร้างชาติ และทุกวันนี้เขาก็ลำบากเพราะการท่องเที่ยวก็ต้องผ่านประเทศไทย แต่เรื่องชาตินิยมเป็นเรื่องที่ใช้กันทั้ง 2 ประเทศในระหว่างที่มีการหาเสียง ดังนั้น เล็กๆ น้อยๆ เราต้องอดทน ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่เปลี่ยนกันได้ อย่าเถียงกันเรื่องที่แค่ 5 เมตร 10 เมตร
ส่วนเรื่องนโยบายการต่างประเทศอื่นนั้น พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า วันนี้โลกเปลี่ยนไปแกนการพัฒนาจะมาอยู่ที่เอเชีย ซึ่งก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมไทยไม่ใกล้ชิดประเทศอื่นเหมือนเมื่อก่อน กับประเทศจีนนั้นตนคุยกับจีนมา 5-6 ปี หรืออย่างล่าสุด ที่นายกฯจะไปเยือนจีน ตนก็ไปก่อนไปหารือว่าการประชุมผู้นำ ในประเทศไทยในเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้ขอให้ นายเหวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีประเทศจีน มาด้วยตนเองซึ่งเขาก็รับปาก แต่ปรากฏว่า อีก 2 วัน นายอภิสิทธิ์ ไปประเทศจีนแทนที่จะไปปักกิ่งกลับไปที่ฮ่องกงแทน ทำให้เขาไม่สบายใจพอสมควร ซึ่งต้องยอมรับว่า นายกฯเรายังไม่ค่อยรู้เรื่องก็ต้องช่วยๆ กันไป หรืออย่างนโยบายกับพม่าก็ขอให้ระวังเอาไว้ เพราะแม้สังคมภายนอกต้องการให้เรากดดันพม่า แต่หากเราทำหนังสือไป ก็จะถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงกิจการภายในประเทศของเขา ดังนั้น นโยบายการต่างประเทศบางครั้งก็ต้องตีสองหน้า
พล.อ.ชวลิต กล่าวถึงการแก้ปัญหาในประเทศ ว่า ทุกวันนี้ที่ไม่เรียบร้อย เพราะเวลาปฏิวัติเขาห้ามปฏิวัติครึ่งเดียว หากจะปฏิวัติต้องทำให้เสร็จ แต่คนที่ทำปฏิวัติ โดยมากไม่กล้าทำให้เสร็จเพราะอาย แต่พอจะขึ้นเองก็ทำไม่ได้แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ พล.อ.ชวลิต กล่าวถึงเรื่องนี้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.ที่เป็นนักศึกษาในหลักสูตรนี้ได้ชี้แจงว่า ขอให้ไปดูรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับปี 2549 เพราะตามกฎหมายดังกล่าว ตนมีภาระหน้าที่เพียง 14 วัน ที่ต้องทำให้เรียบร้อยเพราะกฎหมายให้อำนาจไว้แค่นั้น ตนทำหน้าที่เสร็จแล้ว
นอกจากนี้ พล.อ.สนธิ ยังกล่าวว่า ขอติงเรื่อง นโยบายการต่างประเทศโดยเฉพาะเรื่องกัมพูชา ว่าที่ผ่านมาหากจะทำอะไรกับกัมพูชาเรามักจะใช้ พล.อ. เตีย บันห์ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้านเมืองหรือกระทั่งเรื่องธุรกิจส่วนตัว จนเป็นข้อสังเกตว่า เราใช้ พล.อ.เตีย บันห์ เกินกว่าเหตุ และทำลายเขาหรือไม่ เราน่าจะถนอมเขาไว้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมได้มีผู้ถามพล.อ.ชวลิตว่าพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า “ขออนุญาตไม่เป็น ผมไม่หวังเป็นอะไรอีกแล้ว แต่ยังหยุดทำหน้าที่เพื่อแผ่นดินไม่ได้”
พล.อ.ชวลิต ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม ถึงการที่กลุ่มคนเสื้อแดงจัดงานแซยิดครบรอบวันคล้ายวันเกิด 60 ปี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า คนไทยเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา มีปัญหาอะไรก็อโหสิให้กัน เป็นเรื่องของความรู้สึกของประชาชนส่วนรวม แต่จะถึงโอกาสที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับประเทศหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องของผู้ที่มีอำนาจที่จะช่วยกันคิดช่วยกันทำ
ส่วนเรื่องบิ๊กเซอร์ไพรส์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ตนไม่ทราบ และไม่มีโอกาสพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะนอนแต่หัวค่ำ ช่วงค่ำก็อยากจะพักผ่อนเงียบๆ เมื่อถามว่า แสดงว่าขณะนี้ไม่ได้หารือเรื่องการเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแล้ว พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า “อ๋อ... ไม่มี พูดได้เลยว่าไม่มี เพราะท่านคงดูแลของท่านเอง”
เมื่อถามว่า ความวุ่นวายทางการเมืองขณะนี้จำเป็นต้องปฏิวัติอีกครั้งหรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวสวนทันทีว่า “ก็เป็นกันอย่างนี้นะพวกเรา” และเมื่อถามต่อว่ามีอะไรจะฝากถึง พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ขอให้อดทน คิดถึงส่วนรวม และประชาชนเอาไว้ ส่วนการที่กลุ่มคนเสื้อแดงเตรียมยื่นถวายฎีกาอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ตนไม่รู้เรื่อง ทราบว่าเขากำลังทำอยู่ แต่คิดว่าเป็นความพยายามของคนที่รักในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนรักกันก็ต้องช่วยเหลือกัน
เมือถามว่า มีข้อเสนอแนะ ในการบริหารประเทศของรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า การทำงานของรัฐบาลในรอบ 6เดือนก็ถือว่าดี ทุกคนต้องช่วยกัน เพราะรัฐบาลเป็นของเรา
เมื่อถามว่า ได้วางแนวทางในการลงเล่นการเมืองครั้งใหม่ไว้หรือไม่ อดีตนายกฯ กล่าวว่า “ผมเลิกแล้ว เป็นเรื่องของลูกๆ หลานๆ น้องๆ นุ่งๆ”