เครือข่ายถกเขมร จี้ “มาร์ค” แสดงท่าทีหยุดขายชาติ ต้านยูเนสโก-ประชาคมโลก หยุดขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ประกาศยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาอย่างเป็นทางการ เชื่อเขมร แอบแสวงหาผลประโยชน์ ให้ฝรั่งเศสสัมปทานธุรกิจน้ำมัน พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ค้าน “ก.ทรัพย์-บัวแก้ว” ดันแผนบริหารจัดการร่วมเสนอพื้นที่ป่าอนุรักษ์กว่า 1.5 ล้านไร่ ผนึกเชื่อมขึ้นทะเบียนโลกด้านสิ่งแวดล้อม หวั่น เสียดินแดนเพิ่ม
วันนี้ (27 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 10.30 น. ภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีปราสาทพระวิหารร่วม 30 คน นำโดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่าวดังกล่าว ได้มาชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องและออกแถลงการณ์เรื่อง “นายกฯ อภิสิทธิ์ ต้องไม่สืบทอดนโยบายขายชาติ” โดยให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2551 เพื่อแจ้งต่อยูเนสโกและประชาคมโลกอย่างเป็นทางการ
ม.ล.วัลย์วิภา เปิดเผยว่า แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจว่าแถลงการณ์ความร่วมมือดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และศาลปกครองมีคำส่งคุ้มครองไม่ให้แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวมีผลในทางปฏิบัติ แต่จนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีการบอกเลิกอย่างเป็นทางการต่อยูเนสโก และประชาคมโลก ทางเครือข่ายเกรงว่าจะมีการนำแถลงการณ์ดังกล่าวไปใช้เพื่อหาผลประโยชน์ เพราะขณะนี้มีสัญญาณว่ารัฐบาลไทยจะไปขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารร่วมกับกัมพูชา ซึ่งจะทำให้ไทยไม่ได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก เห็นได้จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังไม่ละความพยายามในการเตรียมนำเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่พัฒนาร่วม โดยมีเป้าหมายในการขอความร่วมมือให้กัมพูชาผนวกพื้นที่รอยเชื่อมต่อระหว่างเขตแดน ที่ติดต่อกับบริเวณเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันอย่างไร้สติ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าอนุรักษ์และเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าใน จ.ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และ จ.สุรินทร์ จำนวน 7 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 1.5 ล้านไร่
นอกจากนี้ยังพบว่า กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงเดินหน้าเตรียมจัดการประชุมสัญจรเพื่อให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามมาตรา 190 วรรค 3 เกี่ยวกับการเจรจาข่อตกลงร่วมชั่วคราวไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนบริเวณเขาพระวิหาร อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งมี่ 6 ในวันที่ 11 ส.ค.นี้ ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นกิจกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการฝ่าฝืนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.51 ที่ห้ามการอ้างหรือใช้ประโยชน์จากมติครม.เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.51 ที่เห็นชอบคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา
“จากข้อเท็จจริงทั้งหมดทำให้สันนิษฐานได้ว่า ข้าราชการที่เกี่ยวข้องในปัญหาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตั้งแต่ต้น มีความพยายามผลักดันให้รัฐบาลสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ด้านวัฒนธรรม ของกัมพูชาให้สัมฤทธิ์ผล และจะผลักดันให้รัฐบาลร้องขอให้กัมพูชาผนวกผืนป่าอนุรักษ์กว่า 1.5 ล้านไร่ ในพื้นที่เชื่อมต่อ เป็นเขตมรดกโลกร่วมกันด้าน สิ่งแวดล้อม อย่างกระเหี้ยนกระหือรือด้วยเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม ทั้งยังพบว่ารัฐบาลมีนโยบายสนับสนับสนุนให้กัมพูชา สร้างรัฐกันชน ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา โดยรวมพื้นที่ของไทย 4.6 ตร.กม.เข้าไปด้วย ทั้งๆ ที่ประเทศไทย ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องเส้นเขตแดนไทยกัมพูชา” มล.วัลย์วิภา กล่าว
ม.ล.วัลย์ภา กล่าวว่า เครือข่ายได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องโดยพบว่าเมื่อวันศุกร์ ที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาได้ให้สัมปทานธุรกิจน้ำมันกับประเทศฝรั่งเศส บริเวณน่านน้ำทางทะเล ซึ่งถือเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกัมพูชา ที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยยังอาศัยแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ไทยต้องสูญเสียอธิปไตย รวมไปถึงดินแดนด้วย และรัฐบาลไทยควรจะคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวอย่างแข็งขัน มากกว่าจะขอให้กัมพูชาผลักดันผลึกผืนป่าอนุรักษ์ ซึ่งเป็นมรดกด้านธรรมชาติ เพราะนอกจากไทยจะเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนแล้ว ยังจะเสียพื้นที่ผืนป่าในประเทศอีก 1.5 ล้านไร่ด้วย
“อยากให้สังคมได้จับตาการประชุมระหว่างไทยกัมพูชา ในเร็วๆ นี้เรื่องการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ หากมีการถอนกำลังทหารออกจริง หรือ มีเฉพาะกองกำลังทหารที่ไปเช้า-เย็นกลับ รวมถึงการหารือร่วมทั้งสองประเทศเพื่อพิจารณาข้อพิพาทเขตพื้นที่ทับซ้อน ที่ประเทศไทยอาจจะยอมถอนกำลังทหาร และมีการตกลงพื้นที่ทับซ้อน โดยรัฐบาลนี้อาจจะกระทำการเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และถูกประณามว่าสืบทอดนโยบายขายชาติ เช่นเดียวกับรัฐบาลชุดก่อนที่ถูกสังคมประณามมาก่อนหน้านี้แล้ว”
วันนี้ (27 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 10.30 น. ภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีปราสาทพระวิหารร่วม 30 คน นำโดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่าวดังกล่าว ได้มาชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องและออกแถลงการณ์เรื่อง “นายกฯ อภิสิทธิ์ ต้องไม่สืบทอดนโยบายขายชาติ” โดยให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2551 เพื่อแจ้งต่อยูเนสโกและประชาคมโลกอย่างเป็นทางการ
ม.ล.วัลย์วิภา เปิดเผยว่า แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจว่าแถลงการณ์ความร่วมมือดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และศาลปกครองมีคำส่งคุ้มครองไม่ให้แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวมีผลในทางปฏิบัติ แต่จนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีการบอกเลิกอย่างเป็นทางการต่อยูเนสโก และประชาคมโลก ทางเครือข่ายเกรงว่าจะมีการนำแถลงการณ์ดังกล่าวไปใช้เพื่อหาผลประโยชน์ เพราะขณะนี้มีสัญญาณว่ารัฐบาลไทยจะไปขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารร่วมกับกัมพูชา ซึ่งจะทำให้ไทยไม่ได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก เห็นได้จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังไม่ละความพยายามในการเตรียมนำเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่พัฒนาร่วม โดยมีเป้าหมายในการขอความร่วมมือให้กัมพูชาผนวกพื้นที่รอยเชื่อมต่อระหว่างเขตแดน ที่ติดต่อกับบริเวณเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันอย่างไร้สติ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าอนุรักษ์และเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าใน จ.ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และ จ.สุรินทร์ จำนวน 7 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 1.5 ล้านไร่
นอกจากนี้ยังพบว่า กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงเดินหน้าเตรียมจัดการประชุมสัญจรเพื่อให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามมาตรา 190 วรรค 3 เกี่ยวกับการเจรจาข่อตกลงร่วมชั่วคราวไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนบริเวณเขาพระวิหาร อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งมี่ 6 ในวันที่ 11 ส.ค.นี้ ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นกิจกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการฝ่าฝืนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.51 ที่ห้ามการอ้างหรือใช้ประโยชน์จากมติครม.เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.51 ที่เห็นชอบคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา
“จากข้อเท็จจริงทั้งหมดทำให้สันนิษฐานได้ว่า ข้าราชการที่เกี่ยวข้องในปัญหาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตั้งแต่ต้น มีความพยายามผลักดันให้รัฐบาลสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ด้านวัฒนธรรม ของกัมพูชาให้สัมฤทธิ์ผล และจะผลักดันให้รัฐบาลร้องขอให้กัมพูชาผนวกผืนป่าอนุรักษ์กว่า 1.5 ล้านไร่ ในพื้นที่เชื่อมต่อ เป็นเขตมรดกโลกร่วมกันด้าน สิ่งแวดล้อม อย่างกระเหี้ยนกระหือรือด้วยเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม ทั้งยังพบว่ารัฐบาลมีนโยบายสนับสนับสนุนให้กัมพูชา สร้างรัฐกันชน ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา โดยรวมพื้นที่ของไทย 4.6 ตร.กม.เข้าไปด้วย ทั้งๆ ที่ประเทศไทย ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องเส้นเขตแดนไทยกัมพูชา” มล.วัลย์วิภา กล่าว
ม.ล.วัลย์ภา กล่าวว่า เครือข่ายได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องโดยพบว่าเมื่อวันศุกร์ ที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาได้ให้สัมปทานธุรกิจน้ำมันกับประเทศฝรั่งเศส บริเวณน่านน้ำทางทะเล ซึ่งถือเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกัมพูชา ที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยยังอาศัยแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ไทยต้องสูญเสียอธิปไตย รวมไปถึงดินแดนด้วย และรัฐบาลไทยควรจะคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวอย่างแข็งขัน มากกว่าจะขอให้กัมพูชาผลักดันผลึกผืนป่าอนุรักษ์ ซึ่งเป็นมรดกด้านธรรมชาติ เพราะนอกจากไทยจะเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนแล้ว ยังจะเสียพื้นที่ผืนป่าในประเทศอีก 1.5 ล้านไร่ด้วย
“อยากให้สังคมได้จับตาการประชุมระหว่างไทยกัมพูชา ในเร็วๆ นี้เรื่องการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ หากมีการถอนกำลังทหารออกจริง หรือ มีเฉพาะกองกำลังทหารที่ไปเช้า-เย็นกลับ รวมถึงการหารือร่วมทั้งสองประเทศเพื่อพิจารณาข้อพิพาทเขตพื้นที่ทับซ้อน ที่ประเทศไทยอาจจะยอมถอนกำลังทหาร และมีการตกลงพื้นที่ทับซ้อน โดยรัฐบาลนี้อาจจะกระทำการเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และถูกประณามว่าสืบทอดนโยบายขายชาติ เช่นเดียวกับรัฐบาลชุดก่อนที่ถูกสังคมประณามมาก่อนหน้านี้แล้ว”