“จาตุรนต์” ทำเก่งแนะ “มาร์ค” เลิกเกรงใจผู้มีอำนาจบางคน แสดงภาวะผู้นำขจัดอุปสรรคคดียิง “สนธิ” แขวะผู้ใหญ่รัฐบาลบางคนทำตัวเป็นตอตัดตอนคดีทำสาวยาก ชี้อย่าแค่เดินสายพูดหรือแค่ปลอบใจ ฝากถาม “ประวิตร” บอกไม่เกี่ยวกองทัพ ชี้หากตำรวจมีหลักฐานโยงจะว่ายังไง เหน็บนายกฯเจอตอในรัฐบาลเสียเอง
วันนี้ (25 ก.ค.) ที่โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่กระแสข่าวการโยกย้าย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กลายเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองว่า นายกรัฐมนตรีต้องกล้าที่จะยืนยันว่า การดำเนินคดีต่างๆ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องการเมืองทั้งหลาย จะต้องเป็นไปโดยให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ใช่ปล่อยให้มีการแทรกแซง บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือคุกคามเจ้าหนักงานสอบสวนอย่างที่เป็นอยู่ และควรจะทำอะไรตรงมามา เวลานี้คนไม่ค่อยเชื่อถือกระบวนการยุติธรรม เพราะว่าถูกข่มขู่ได้ ที่ผ่านมาคดีบางประเภทก็ทำล่าช้ามาก บางคดีก็ทำเร็วมาก บางฝ่ายทำเร็วมาก พอถึงเวลาทำจริงๆ ก็ปล่อยให้มีการข่มขู่ได้
“อย่างคดีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็มีผู้ใหญ่ในรัฐบาลออกมาพูดแก้ต่างให้ พยายามจะพูดแบบตัดตอนทำให้สาวยาก อันนี้ความจริงไม่ต้องไปโทษใคร ไปโทษตำรวจ ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่คนรัฐบาลเอง และนายกฯต้องส่งสัญญาณให้ชัดๆ กับคนในรัฐบาลด้วยกัน คนในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันว่าทุกคดีต้องทำอย่างตรงไปตรงมา และถ้าตำรวจถูกรังแก ถูกข่มขู่จากพันธมิตรฯก็ต้องเข้าไปช่วยให้หลักประกันว่า ไม่ต้องกลัวพันธมิตรฯ และถ้าตำรวจจะไปเจอตออะไรในคดีลอบสังหารนายสนธิก็ต้องเข้าไปช่วยให้ตำรวจทำงานให้ได้ เอาคนทำผิดมาลงโทษให้ได้”
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า คนที่ทำผิดในทุกเรื่องต้องถูกดำเนินคดี เมื่อพิสูจน์ว่าทำผิดจริงก็ต้องถูกลงโทษ บ้านเมืองถึงจะไปได้ แต่ถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้ นายกฯขึ้นมาสู่อำนาจโดยพันธมิตรฯไม่ได้ทำอะไรผิดเลย พอมาเป็นแล้วจะเอาผิดพันธมิตรฯไม่ได้ และเลอะเทอะไปถึงขณะที่ว่า ไม่สามารถหาตัวการที่กระทำความผิดคดียิงนายสนธิ ไม่ใช่เจ๊ากัน มันเป็นความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ในวิกฤตอย่างนี้ไม่ใช่เฉพาะคดีสนธิ นายกฯต้องยืนยันหลักการ และไม่ใช่เกรงใจใครไปหมด นาทีวิกฤตอย่างนี้ ต้องดูว่าประชาชนเขาอยากเห็นอะไร เราควรจะคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนมากกว่ารัฐมนตรี พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ต้องไม่เกรงกลัวผู้มีอำนาจคนไหนที่อยู่เบื้องหลังไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ต้องไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
เมื่อถามว่า พูดเหมือนว่านายกฯ กลัวใครอยู่ ทั้งๆ ที่นายกฯ ก็ใหญ่ที่สุดในประเทศแล้ว นายจาตุรนต์กล่าวว่า นายกฯ ก็มีตำแหน่งที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด แต่นายกฯมาจากทางการเมืองที่พิเศษ ก็ต้องพึ่งหลายฝ่ายมาก ต้องพึ่งกองทัพ พันธมิตรฯ พรรคร่วมรัฐบาล ภายในพรรคตัวเองก็เกรงใจหลายๆ ฝ่ายที่ผิดหวัง ในขณะที่คนรับตำแหน่งเข้าไปก็ทำอะไรไมได้ ดังนั้นนายกฯก็อยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ ดังนั้นแต่ละวันนายกฯทำแค่ได้ไปพูดตามสถานที่ต่างๆ หรือว่าไปร่วมงานประเภทงานเปิดงานแสดงตัว ปล่อยอย่างนี้ไปนานมากไม่ได้ประเทศจะเสียโอกาส
ผู้สื่อข่าวถามว่า คดียิงนายสนธิจะกลายเป็นประเด็นที่ทำให้เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอนหรือไม่ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า คาดว่าก็คงหนักใจอยู่มาก เพราะคนในรัฐบาลก็พูดออกมาแล้วก็ทำให้การสืบสวนสอบสวนทำการยาก เช่น รัฐมนตรีกลาโหมก็บอกว่าไม่เกี่ยวกับกองทัพ ผู้นำกองทัพ
“ถ้าตำรวจเขาเจอว่าเกี่ยวจะทำอย่างไร ถ้านายกฯจะไปห้ามรมว.กลาโหม ก็เหมือนกับเด็กเล็กๆ ไปห้ามผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีบุญคุณในการตั้งรัฐบาล นายกฯ ก็ทำไม่ได้ ดังนั้น นายกฯ ต้องสวมวิญญาณที่อ้างว่า มาจาก ส.ส.มาจากสภาฯ ก็ต้องคุม รมว.กลาโหมให้ได้” นายจาตุรนต์ กล่าว
เมื่อถามว่า การที่นายกฯ ไม่กล้าตัดสินใจ เป็นเพราะเกิดการต่อรองเกิดขึ้นจากเรื่องดังกล่าว นายจาตุรนต์กล่าวว่า การต่อรองคงมีตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่การที่ต้องพึ่งหลายฝ่ายขึ้นมาได้ มันก็หมายถึงการจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ฝ่าย ดังนั้น นายกฯ จะตัดสินใจอะไรแล้วไปกระทบผู้เกี่ยวข้องมาก ก็กลัวว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ ในวันนี้รัฐบาลอยู่ได้หรือไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว จะต้องคิดว่าจะแก้ปัญหาประเทศชาติได้อย่างไร แก้วิกฤตทางการเมืองต่อความไม่เชื่อถือต่อระบบ ต่อกระบวนการยุติธรรม อย่างน้อยก็อย่าไปซ้ำเติม ที่เวลานี้รัฐบาลกำลังซ้ำเติมปัญหาโดยช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากการพูดปลอบใจคนไปอย่างนั้ ซึ่งไม่เพียงพอ
ผู้สื่อข่าวถามว่า มาถึงเวลานี้ นายกฯ เจอตอเองมากกว่าที่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเจอตอในคดีของนายสนธิ นายจาตุรนต์กล่าวว่า ยังไม่ทันเป็นตอในเรื่องคดี แต่นายกฯ เจอตอในรัฐบาลตัวเองเต็มไปหมด เพราะฉะนั้นนายกฯ ก็สะดุดไปหมด ทำอะไรไม่ได้ ทำให้ภาวะผู้นำเกิดขึ้นได้ยาก