"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
โดย โชกุน
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนครั้งที่ 42 ที่จังหวัดภูเก็ต ผ่านไปแล้วอย่างราบรื่น ไทย ในฐานะประธานอาเซียน เจ้าภาพจัดการประชุม ได้รับคำชมเชยจากประเทศสมาชิกที่เข้าร่วม ที่สามารถทำให้การประชุมลุล่วงด้วยดี
ไม่เพียงแต่รัฐมนตรีต่างประเทศจากชาติสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ เท่านั้นที่มาประชุมกันเอง แต่เวทีการประชุมที่ภูเก็ตครั้งนี้ ยังมีการประชุมของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน กับคู่เจรจา และการประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เออาร์เอฟ ที่มีรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือตัวแทนของชาติสำคัญๆเข้าร่วม เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐ ฯ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป อินเดีย ปากีสถาน ฯลฯ รวมทั้งหมด 27 ประเทศ
จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม ผู้ติดตาม และสื่อมวลชน กว่า 2 พันคน ทำให้บรรยากาศของภูเก็ตคึกคัก โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวพลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วย
การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อให้กำลังทหารสามารถเข้ามาดูแลรักษาความเรียบร้อย ในช่วงการประชุม ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. ไม่มีผลใดๆต่อนักท่องเที่ยว และคนภูเก็ต ชีวิตประจำวันดำเนินไปตามปกติ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การจัดประชุมได้เป็นผลสำเร็จในครั้งนี้ เป็นการลบรอยด่างของประเทศไทยที่กลุ่มเสื้อแดงได้ก่อไว้ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยาเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนทำให้ รัฐบาลตัดสินใจล้มเลิกการประชุม
ความสำเร็จของการประชุมครั้งนี้ เป็นการกอบกู้เกียรติภูมิของชาติ ให้กลับคืนมา เป็นการแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า เราคนไทย มีความสามารถจัดการประชุมในระดับโลกได้ สถานการณ์การเมืองในประเทศไทย ไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัว หรือเป็นอันตรายแต่อย่างใด ซึ่งจะส่งผลในทางบวกต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวและการลงทุนต่อไป
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต้องทำหน้าที่เจ้าภาพ และเป็นประธานในที่ประชุมตลอดเวลา 3 วัน สมควรได้รับคำยกย่องว่า ทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีรัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจา ที่ไม่มาประชุมเพราะรังเกียจนายกษิต ที่เคยขึ้นเวทีปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ไม่มีรัฐมนตรีต่างประเทศของชาติไหน ไม่ยอมคุยกับนายกษิต เพราะถูกตำรวจไทยตั้งข้อหาว่า เป็นผู้ก่อการร้ายยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
ข้อกล่าวหา คำวิพากษ์ วิจารณ์ เสียงขับไล่ไสส่งให้นายกษิตลาออก หลังถูกตำรวจตั้งข้อหาอย่างเกินเลยว่า เป็นผู้ก่อการร้าย ด้วยเหตุผลว่า นายกษิต จะทำให้ประเทศไทยเสื่อมเสียเกียรติภูมิ ในเวทีโลก เป็นเรื่องที่คนไทยกล่าวหากันเอง เพราะไม่ชอบหน้านายกษิต ที่เป็นพวกพันธมิตร ไม่ชอบนายกษิต ที่พูดจาตรงไปตรงมา ไม่ชอบนายกษิต ที่ทำให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้อยู่ในที่ที่ตัวเองต้องการจะอยู่ ต้องหลบซ่อนในถิ่นที่ไม่มีสิ่งที่เป็นความรื่นรมย์ของชีวิต เลยแม้แต่น้อย
นายกษิต เป็นคนที่ทำให้ นช.ทักษิณ รู้ซึ้งว่า “สำหรับนักโทษที่ไหนๆ ในโลกนี้ก็คือคุก ”
เมื่อการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่ภูเก็ต ผ่านพ้นไปด้วยดี โดยไม่มีสิ่งใดที่แสดงว่า เกียรติภูมิของประเทศไทย ได้รับความเสื่อมเสีย รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของไทยที่ชื่อ นายกฺษิต ภิรมย์ได้รับการยอมรับจากประชาคมการทูตโลก ก็ควรที่จะหาเหตุผลใหม่ มาแสดงว่า ทำไมนายกษิตจึงต้องลาออก
นานหลายปีแล้ว ที่ประเทศไทยไม่เคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เป็นมืออาชีพ ที่เป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ของชาติไทยอย่างแท้จริง เรามีแต่รัฐมนตรีต่างประเทศ อ่อนหัด ที่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ เพราะได้รับมอบหมาย เป็นตัวแทนดูและผลประโยชน์ด้านธุรกิจของ ผู้นำเท่านั้น ยอมศิโรราบ ยกดินแดนให้ชาติอื่น เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว
มีนายกษิตคนนี้แหละ ที่เป็นนักการทูตมืออาชีพ ที่คู่ควรกับการทำหน้าที่เป็นตัวแทน รักษาเกียรติภูมิ และผลประโยชน์ของชาติไทยในเวทีโลก
โดย โชกุน
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนครั้งที่ 42 ที่จังหวัดภูเก็ต ผ่านไปแล้วอย่างราบรื่น ไทย ในฐานะประธานอาเซียน เจ้าภาพจัดการประชุม ได้รับคำชมเชยจากประเทศสมาชิกที่เข้าร่วม ที่สามารถทำให้การประชุมลุล่วงด้วยดี
ไม่เพียงแต่รัฐมนตรีต่างประเทศจากชาติสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ เท่านั้นที่มาประชุมกันเอง แต่เวทีการประชุมที่ภูเก็ตครั้งนี้ ยังมีการประชุมของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน กับคู่เจรจา และการประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เออาร์เอฟ ที่มีรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือตัวแทนของชาติสำคัญๆเข้าร่วม เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐ ฯ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป อินเดีย ปากีสถาน ฯลฯ รวมทั้งหมด 27 ประเทศ
จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม ผู้ติดตาม และสื่อมวลชน กว่า 2 พันคน ทำให้บรรยากาศของภูเก็ตคึกคัก โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวพลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วย
การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อให้กำลังทหารสามารถเข้ามาดูแลรักษาความเรียบร้อย ในช่วงการประชุม ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. ไม่มีผลใดๆต่อนักท่องเที่ยว และคนภูเก็ต ชีวิตประจำวันดำเนินไปตามปกติ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การจัดประชุมได้เป็นผลสำเร็จในครั้งนี้ เป็นการลบรอยด่างของประเทศไทยที่กลุ่มเสื้อแดงได้ก่อไว้ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยาเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนทำให้ รัฐบาลตัดสินใจล้มเลิกการประชุม
ความสำเร็จของการประชุมครั้งนี้ เป็นการกอบกู้เกียรติภูมิของชาติ ให้กลับคืนมา เป็นการแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า เราคนไทย มีความสามารถจัดการประชุมในระดับโลกได้ สถานการณ์การเมืองในประเทศไทย ไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัว หรือเป็นอันตรายแต่อย่างใด ซึ่งจะส่งผลในทางบวกต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวและการลงทุนต่อไป
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต้องทำหน้าที่เจ้าภาพ และเป็นประธานในที่ประชุมตลอดเวลา 3 วัน สมควรได้รับคำยกย่องว่า ทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีรัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจา ที่ไม่มาประชุมเพราะรังเกียจนายกษิต ที่เคยขึ้นเวทีปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ไม่มีรัฐมนตรีต่างประเทศของชาติไหน ไม่ยอมคุยกับนายกษิต เพราะถูกตำรวจไทยตั้งข้อหาว่า เป็นผู้ก่อการร้ายยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
ข้อกล่าวหา คำวิพากษ์ วิจารณ์ เสียงขับไล่ไสส่งให้นายกษิตลาออก หลังถูกตำรวจตั้งข้อหาอย่างเกินเลยว่า เป็นผู้ก่อการร้าย ด้วยเหตุผลว่า นายกษิต จะทำให้ประเทศไทยเสื่อมเสียเกียรติภูมิ ในเวทีโลก เป็นเรื่องที่คนไทยกล่าวหากันเอง เพราะไม่ชอบหน้านายกษิต ที่เป็นพวกพันธมิตร ไม่ชอบนายกษิต ที่พูดจาตรงไปตรงมา ไม่ชอบนายกษิต ที่ทำให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้อยู่ในที่ที่ตัวเองต้องการจะอยู่ ต้องหลบซ่อนในถิ่นที่ไม่มีสิ่งที่เป็นความรื่นรมย์ของชีวิต เลยแม้แต่น้อย
นายกษิต เป็นคนที่ทำให้ นช.ทักษิณ รู้ซึ้งว่า “สำหรับนักโทษที่ไหนๆ ในโลกนี้ก็คือคุก ”
เมื่อการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่ภูเก็ต ผ่านพ้นไปด้วยดี โดยไม่มีสิ่งใดที่แสดงว่า เกียรติภูมิของประเทศไทย ได้รับความเสื่อมเสีย รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของไทยที่ชื่อ นายกฺษิต ภิรมย์ได้รับการยอมรับจากประชาคมการทูตโลก ก็ควรที่จะหาเหตุผลใหม่ มาแสดงว่า ทำไมนายกษิตจึงต้องลาออก
นานหลายปีแล้ว ที่ประเทศไทยไม่เคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เป็นมืออาชีพ ที่เป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ของชาติไทยอย่างแท้จริง เรามีแต่รัฐมนตรีต่างประเทศ อ่อนหัด ที่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ เพราะได้รับมอบหมาย เป็นตัวแทนดูและผลประโยชน์ด้านธุรกิจของ ผู้นำเท่านั้น ยอมศิโรราบ ยกดินแดนให้ชาติอื่น เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว
มีนายกษิตคนนี้แหละ ที่เป็นนักการทูตมืออาชีพ ที่คู่ควรกับการทำหน้าที่เป็นตัวแทน รักษาเกียรติภูมิ และผลประโยชน์ของชาติไทยในเวทีโลก