"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
โดย โชกุน
คดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล ขมวดปม-เขม็งเกลียวขึ้นเรื่อยๆ
ตัวละครสำคัญๆ ที่ร่วมขบวนการถูกเผยโฉม กระชากหน้ากาก ออกมาทีละคนๆ แม้ว่าจนถึงขณะนี้จะมีการออกหมายจับผู้ต้องสงสัยเพียง 2 เท่านั้น รายแรกเป็นสีกากี คือ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ สังกัด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ที่มาช่วยราชการที่ ดีเอสไอ.
อีกราย เป็นสีเขียว จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา นักรบนอกแบบ จากหน่วยบัญชาการศูนย์สงครามพิเศษ ลพบุรี ช่วยราชการเหมือนกันที่ กอ. รมน. ภาค 4
คนที่สาม ในทางเปิด ยังไม่ตกเป็นเป้าสงสัยจนถึงขั้นที่จะออกหมายจับได้ เพียงแต่มีข้อสังเกตว่า เป็นคนยืมรถกระบะวีโก้ของ น.ส.รัศมี เมฆชัย ที่มีหลักฐานชัดว่า เป็นรถ 1 ใน 2 คันที่คนร้ายใช้เป็นพาหนในปฏิบัติการสาดกระสุนใส่รถของนายสนธิ เมื่อเช้าตรู่ วันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา และยังเป็นลูกพี่ของ จ.ส.อ.ปัญญา ด้วย จึงจะถูกหมายเรียกตัวมาสอบปากคำ
คนนี้คือ พ.อ. สุนัย ประภูชะเนย์ เป็นนักรบหมวกแดง ผู้ช่ำชองการรบนอกแบบจากศูนย์สงครามพิเศษเหมือนกัน ปัจจุบัน เป็น หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการ ประจำรองเสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 21 รุ่นเดียวกับ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ คนที่ตัดตอนคดีซุกหุ้น เอสซี แอสเส็ท สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นผลงานชิ้นแรก และชิ้นเดียว ทันที่ที่เข้ามารับตำแหน่งอธิบดีกรมนี้ ในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช
เอาแค่ตัวละครเพียง สามสี่ตัวนี้ ก็คงพอจะมองเห็นเค้าลางๆว่า ใครคือ “นายใหญ่ ไอ้โม่งตัวจริงที่สั่งฆ่า นายสนธิ
โธ่ ขนาดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังรู้ว่าใครทำ เพราะการเชื่อมโยงมันมี มีหรือที่ท่านผู้อ่านเอเอสทีวี ผู้จัดการ ที่ติดตามการรายงานข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง แบบละเอียดยิบ จะเดาทางกันไม่ออก
คดีอาชญากรรมใหญ่ๆ หลายคดี มีคนมีสี ไม่ว่าจะเป็นสีกากี หรือสีเขียวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอยู่บ่อยๆ คนพวกนี้เป็นพวกถืออาวุธได้ถูกต้องตามกฎหมาย มี “สี” และ “นาย” เป็นเกราะคุ้มกัน เมื่อก่อคดี มีเรื่องแล้ว ก็หนีเข้ากรม หลบเข้าค่ายไปกบดานได้
เวลาตำรวจ ทหารชั่วๆ ไปทำความผิด ผู้บังคับบัญชา มักจะแก้ตัวว่า กำลังพลมีมาก ดูแลไม่ทั่วถึง
พอมีเหตุร้าย ที่ทหาร ตำรวจ ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชา จะอ้างว่า กำลังพลมีไม่พอ ดูแลไม่ทั่วถึง
แก้ตัวไปได้น้ำขุ่นๆ เพื่อปกป้องพวกที่มีสีเดียวกัน
ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น มีหน้าที่ ความรับผิดชอบที่จะต้องสอดส่องดูแลคน ในสังกัด ไม่ให้ทำตัวเป็นอาชญากร ตำรวจ ทหารเลวๆ นั้น มีไม่กี่คน ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง เพราะผู้มีหน้าที่ปกครองชอบอ้างว่า เป็นเรื่องส่วนตัว
ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงมี “เสธ.” มี “ผู้ทรงคุณวุฒิฯ” “ผู้ชำนัญการ” และ “ประจำ กอ.รมน.” ที่มีงานจ๊อบคุมที่จอดรถตามสถานบันเทิง รับจ้างทวงหนี้ รับจ้างฆ่า ฯลฯ อยู่เต็มไปหมดในกองทัพ
กรณีของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ต้นสังกัดมีคำสั่งให้ออกจากราชการ ด้วยเหตุผลว่า ขาดราชการเกิน 15 วัน ไม่ใช่ เพราะ ต้องข้อหาลอบฆ่านายสนธิ ในรายของ จ.ส.อ.ปัญญา และ พ.อ. สุนัย นั้น ทั้ง แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้บัญชาการทหารบก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า เป็นเรื่องส่วนตัว ว่ากันไปตามกระบวนการกฎหมาย
มันจะเป็นเรื่องส่วนตัวไปได้อย่างไร ในเมื่อคนเหล่านี้ยังรับราชการ กินเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชน อาวุธ กระสุนที่ใช้ยิงนายสนธิ ก็เป็นของหลวง การพกพาอาวุธสงครามไปตามท้องถนน เพื่อฆ่าผู้บริสุทธิ์ ก็อ้างสิทธิของความเป็นตำรวจ ทหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ต้องสงสัย เป็นทหารจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นหน่วยรบหัวกะทิ บุคลากรได้รับการฝึกฝนเป็นกรณีพิเศษ ให้มีความชำนาญในการรบนอกแบบ เพื่อปฏิบัติภารกิจที่มีความสำคัญยิ่ง ที่ไม่อาจใช้การรบแบบปกติได้ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย่อมไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่รู้ไม่เห็นได้
เว้นเสียแต่ว่า การลอบสังหารนายสนธิ ของนักรบหมวกแดงครั้งนี้ ไม่ใช่การรับจ๊อบ แต่เป็น ภารกิจลับ ที่ “นาย” สั่งให้ทำ