รายงาน
โดย แสงตะวัน
“...ทั้งสองขั้วอำนาจต้องการเก็บนายสนธิ เพราะฝ่ายหนึ่งแค้นที่ถูกนายสนธิโค่นลงจากอำนาจ และอีกฝ่ายก็เห็นว่านายสนธิเป็นกำแพงที่จะกั้นไม่ให้เข้าสู่อำนาจ จึงลงขันกันฆ่านายสนธิ โดยเชื่อว่ามี พ.อ.(ส) เป็นสะพานเชื่อมของขั้วอำนาจทั้งสองในภารกิจปิดบัญชีแค้นครั้งนี้”
ลุ้นระทึก สัปดาห์นี้ คาด “ธานี” ออกหมายจับคดีลอบสังหารสนธิเพิ่มอีก 2-3 คน อาจมีชื่อ พ.อ.(ส) ร่วมด้วย ตร.ส่งสายติดตามจับความเคลื่อนไหว พ.อ.(ส) พบหายตัวลึกลับจากภาคใต้ และภูเก็ตที่มีภารกิจรับผิดชอบงานด้านการข่าวในระหว่างนี้ แต่จมูกไวได้กลิ่นไม่ดีรีบซิ่งตั้งหลัก ยังไม่ชัดถ้าโดนตั้งข้อหาจะแอ่นอกออกมาสู้คดีหรือหนีตามลูกทีม
ความคืบหน้าคดีลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้ง ASTVผู้จัดการ ได้เดินมาถึงขั้นทีมสอบสวน โดยการนำของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกหมายจับผู้ต้องสงสัยร่วมทีมยิงถล่มนายสนธิ 2 คน คือ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ ตำรวจในสังกัดกองบัญชาการปรามปราบยาเสพติด และ จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา ทหารชั้นประทวนประจำหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ กองทัพบก แต่หลังจากจากศาลอาญาได้ออกหมายจับเมื่อวันที่ 14 ก.ค..ที่ผ่าน ตำรวจยังไม่สามารถจับกุมตัวคนทั้งสองได้ เนื่องจากคนทั้งสองรู้ข่าวไหวตัวหลบหนีไปได้
การยกกำลังตำรวจเข้าตรวจค้นแหล่งกบดานของจ่าปัญญาที่ จ.ตราด พบว่า ข้อมูลเคยเป็นที่หลบซ่อนตัวของกลุ่มมือปืนชุดนี้จริงตามที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน แม้ว่าจะไม่พบตัวผู้ต้องหารายนี้ แต่ก็ทำให้ทราบว่า จ่าญาไม่ได้ไปทำงานที่กองทัพภาคที่ 4 ตามที่อ้างว่าถูกส่งไปทำงานช่วยราชการที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่อย่างใด แต่หนีราชการทหารมาอยู่ทำงานที่ จ.ตราด
การพบว่าแหล่งที่อยู่ที่แท้จริงของจ่าญานั้นจะเป็นประโยชน์ต่อสำนวนคดี เพราะคาดว่าเรื่องนี้จะถูกยกขึ้นเป็นประเด็นข้อโต้แย้งในการสู้คดีต่อไป สังเกตได้จากมีการแสดงท่าทีที่จะมีการให้ความช่วยเหลือกันในประเด็นนี้ ว่าจ่าญาทำงานอยู่ภาคใต้ เป็นไปไม่ได้ที่จะร่วมในทีมยิงถล่มนายสนธิ
อย่างไรก็ดี ต้องรอติดตามความเคลื่อนไหวต่อไปในสัปดาห์นี้ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองทัพบกจะให้ความร่วมมือในการส่งตัวคนมีสีนอกแถวทั้งสองมาให้ตำรวจดำเนินคดีหรือไม่ แต่ก็เกรงกันว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนจะถูกคนบงการสั่งเก็บให้หายไปจากโลกนี้ เพราะทั้งสองเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะไขปริศนาแห่งคดีไปถึงคนสั่งฆ่า และตัวบงการใหญ่ที่อยู่ระดับบนสุดของขบวนการลอบสังหารนายสนธิ
ตามข่าวแจ้งว่า สาเหตุที่ตำรวจยังตะครุบตัวผู้ต้องหาทั้งสองไม่ได้ เนื่องจากคนทั้งสองรู้ข่าวล่วงหน้าว่าจะมีการขอออกหมายจับ จึงเผ่นหนีไปก่อน เหตุนี้เป็นปัญหาจากมีนายตำรวจบางคนทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ในทีมตำรวจชุดดังกล่าว ซึ่งต่อมาได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง
โดย พล.ต.อ.ธานีได้ออกมาเปิดเผยเองว่ามีไส้ศึกเป็นนายตำรวจชั้นยศพลตำรวจโท แอบนำความลับในสำนวนคดีออกมาปูดให้กลุ่มคนร้ายในคดีนี้ได้รู้ความเคลื่อนไหวของทีมสอบสวนมาตลอด รวมถึงการขอออกหมายจับ ก็เชื่อว่ามีไส้ศึกแอบส่งข่าวดังกล่าว จึงเป็นผลให้ความลับการขอออกหมายจับรั่วไหลออกไป และผู้ต้องหาทั้งสองรู้ข่าวก่อนจึงไหวตัวหลบหนีไปได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตำรวจชุดสืบสวนได้ออกปฏิบัติการไล่ล่าเพื่อจับกุมตัวคนทั้งสองมาเพื่อดำเนินคดีต่อไปอย่างไม่ลดละ หลังจากเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมาทีมตำรวจชุดไล่ล่าได้ยกกำลังพร้อมกับหมายตรวจค้นไปที่ จ.ตราด เข้าตรวจค้นบริษัทไม้กฤษณาฟ้าสยาม จำกัดและบริษัทผลิตน้ำหอมฐานะจาโร จำกัด ที่มี พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต ผบ.ทบ.และนักการเมืองสังกัดพรรคไทยรักไทย และคนในครอบครัวเป็นเจ้าของ เพื่อหาตัวจ่าญา พร้อมทั้งหาอาวุธปืนที่ใช้ลงมือ เนื่องจากการสืบสวนทราบว่าบริษัททั้งสองเป็นแหล่งกบดานหลบซ่อนของจ่าญา และทีมมือปืนหลังลงมือยิงถล่มนายสนธิแล้ว แต่ก็คว้าน้ำเหลว ไม่พบอาวุธหรือสิ่งผิดกฎหมายใดๆ
คนงานในบริษัทดังกล่าวบอกว่า จ่าญาเคยเป็นคนงานอยู่ที่บริษัทจริง แต่ได้หายตัวไปเมื่อเดือนก่อน คำบอกกล่าวนี้เป็นประโยชน์ต่อคดีในทางการตรวจสอบความเคลื่อนไหวจ่าญา
ส่วนด้าน จ.ส.ต.วรวุฒิที่มีข่าวว่าได้ขาดราชการไปเกินกว่า 15 วันแล้ว ก็ยังไม่กลับเข้ามารายงานตัวต่อต้นสังกัด ซึ่งจะมีการดำเนินเสนอเรื่องให้ไล่ตำรวจนอกแถวคนนี้ออกจากราชการต่อไป
อย่างไรก็ตาม มีการออกข่าวลวงว่า จ.ส.ต.วรวุฒิจะขอเข้ามอบตัวเพื่อสู้คดี แต่ถึงขณะนี้ยังไม่ปรากฏวี่แววว่า จ.ส.ต.วรวุฒิจะมอบตัวแต่อย่างใด
น่าสังเกตว่า ผู้ต้องสงสัยในการกระทำผิดคดีสังหารนายสนธิทั้งสองคนเป็นทหารและตำรวจ ซึ่งตามหลักกฎหมาย ผู้บังคับบัญชาจะต้องให้ความร่วมมือในการเอาตัวมารับทราบข้อกล่าวหาโดยไม่อิดเอื้อนหรือรอช้า แต่ในคดีนี้ส่อเห็นว่า ผู้บังคับบัญชาทั้งตำรวจ และทหาร กำลังจะเตะถ่วงดึงเวลาให้ลูกน้องเลวของตนหลบหนี แล้วค่อยออกมาชี้แจงแก่สังคมในภายหลัง
การลอบสังหารนายสนธิเป็นคดีอาชญากรรมอุกฉกรรจ์ เนื่องจากเป็นการลอบสังหารบุคคลที่มีบทบาทหน้าที่ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในภาคประชาชน ที่ได้เสียสละ ด้วยความกล้าหาญโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้พ้นไปจากอำนาจ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณขณะบริหารประเทศได้ใช้อำนาจในการกอบโกยหาผลประโยชน์เพื่อความร่ำรวยแก่ตนเองและญาติพี่น้อง ตลอดถึงพวกพ้อง จนถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองพิพากษาให้จำคุก 2 ปีในคดีที่ดินรัชดา
ขณะนี้ นช.ทักษิณได้หลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ แต่ก็ยังไม่สำนึกถึงความผิด โดยก่อการวางแผนและเคลื่อนไหวทุกด้านเพื่อทำลายความมั่นคงของประเทศ เช่น สร้างความเข้าใจแก่สถาบันกษัตริย์ และสถาบันตุลาการ ว่าอยู่เบื้องหลังการโค่นล้มอำนาจของตน
นช.ทักษิณและลิ่วล้อที่รับจ้างสร้างความไม่สงบและทำลายความมั่นคงให้แก่ชาติบ้านเมือง ยังเดินหน้าสร้างเวรกรรมต่อไปเพื่อไปสู่แผนการยึดประเทศไทย ในเป้าหมายล้มล้างสถาบันชาติและกษัตริย์
ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนเมษายน จากเหตุการณ์ที่ยกพลเสื้อแดงไปถล่มเวทีการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เหตุปิดล้อมหวังเอาชีวิตนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่กระทรวงมหาดไทย และเหตุจลาจลเผาบ้านเผาเมืองระหว่างวันสงกรานต์แต่ไม่แผนการไม่สำเร็จเพราะประชาชนไม่เอาด้วย เหตุเหล่านี้ได้ถูกกำหนดขึ้นโดย นช.ทักษิณ ที่บงการอยู่ยังต่างประเทศ
กระทั่งล่าสุดได้ออกอุบายให้คนเสื้อแดงล่ารายชื่อหนึ่งล้านชื่อเพื่อถวายฎีกา จนมีการคัดค้านท้วงติงจากสังคมว่าเป็นการจาบจ้วงล่วงเกินพระเจ้าอยู่หัว เพราะไม่มีระเบียบให้ทำเช่นนี้ได้
แต่ นช.ทักษิณก็ไม่ฟังเสียงดันทะลุให้ลิ่วล้อเดินหน้าต่อไป ตามกำหนดจะยื่นถวายฎีกาไว้ในวันเกิดครบรอบ 60 ปีของตน วันที่ 26 ก.ค.ที่จะถึงนี้
ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่า ขบวนการทักษิณคิดและทำในเรื่องการทำลายสถานบันหลักของชาติจริง ไม่ได้ต่อสู้ตามที่กล่าวอ้างเพื่ออำนาจการเมืองเพื่อปกป้องระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่อย่างใด ในปัจจุบันแม้สื่อต่างชาติก็ไม่เชื่อคำพูดของ นช.ทักษิณแล้วที่มักอวดอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตย
กล่าวถึงเหตุการณ์ลอบสังหารนายสนธิ เกิดขึ้นหลังการล้มที่ประชุมสุดยอดอาเซียนฯ หลังเหตุปิดล้อมสังหารนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่มหาดไทยแต่ล้มเหลว และหลังเหตุจลาจลในกรุงเทพในวันที่ 13-14 เมษายน คำสั่งฆ่านายสนธิได้ออกมาเป็นรายการหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์นี้ด้วย
เรื่องนี้ยืนยันได้ตามปรากฏหลักฐานในชั้นสืบสวนว่ามีตัวจักรสำคัญคือ พ.อ.(ส) หัวหน้าทีมลอบสังหารเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง นช.ทักษิณ กับกลุ่มอำนาจใหม่
ทั้งสองขั้วอำนาจต้องการเก็บนายสนธิ เพราะฝ่ายหนึ่งแค้นที่ถูกนายสนธิโค่นลงจากอำนาจ และอีกฝ่ายก็เห็นว่านายสนธิเป็นกำแพงที่จะกั้นไม่ให้เข้าสู่อำนาจ จึงลงขันกันฆ่านายสนธิ โดยเชื่อว่ามี พ.อ.(ส) เป็นสะพานเชื่อมของขั้วอำนาจทั้งสองในภารกิจปิดบัญชีแค้นครั้งนี้
จากการสืบสวนพบว่า พ.อ.(ส) มีพฤติกรรมน่าสงสัยในระหว่างเกิดเหตุลอบสังหารนายสนธิ จากการใช้โทรศัพท์มือถือ จากเบอร์ที่ซื้อพร้อมกันจำนวน 6 เบอร์จากแหล่งที่ซื้อคือหน้าหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของกองทัพในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่ง ติดต่อโทร.รายงานผลการทำงานให้หญิงคนหนึ่งที่ขณะนั้นหนีไปตั้งหลักจากเหตุเมษายนทมิฬไปหลบที่นครดูไบ และยังใช้เบอร์โทรศัพท์เดียวกันโทร.หาเบอร์ที่ นช.ทักษิณใช้อยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย
พ.อ.(ส) ยังได้ใช้เบอร์โทรศัพท์เบอร์นี้ติดต่อแจ้งสื่อสารกับ “บิ๊ก ป.” ซึ่งว่ากันว่าเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มอำนาจใหม่หลังเหตุลอบยิงถล่มนายสนธิอีกด้วย ยังพบด้วยว่ามีการใช้โทรศัพท์กลุ่มที่ซื้อเบอร์พร้อมกัน 6 เบอร์เป็นใยแมงมุม ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เบอร์ของ พ.อ.(ส)
นอกจากนี้ ข่าวในทางลับเผยว่า ในคดีลอบสังหารนายสนธิ พ.อ.(ส) ได้ร่วมมือกับเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารคนหนึ่ง ที่มีอำนาจอยู่ในหน่วยงานสืบสวนพิเศษ ซึ่งตอนนี้คนคนนี้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับน้องสาวนักการเมืองคนดัง ดังปรากฏหลักฐานทั้งคนและรถยนต์ที่ทีมยิงใช้ในการทำงาน ล้วนแต่พัวพันกับคนมีอำนาจในหน่วยสืบสวนพิเศษนี้ทั้งสิ้น
รายงานข่าวแจ้งว่า ในสัปดาห์นี้อาจจะมีการขอออกหมายจับคนร้ายในคดีลอบสังหารนายสนธิเพิ่มอีก 2-3 คน ซึ่งไม่แน่ว่าจะมีชื่อของ พ.อ.(ส) หรือไม่ แต่ในขณะนี้ความเคลื่อนไหวของ พ.อ.(ส) ได้อยู่ในการติดตามของทีมตำรวจชุดนี้ตลอดเวลาแต่ พ.อ.(ส) ก็ไหวเหมือนปรอทได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วเช่นกัน
ทั้งนี้ ล่าสุด พ.อ.(ส) ได้ถูกส่งตัวให้ไปช่วยราชการในกองทัพภาคที่ 4 มีหน้าที่รับผิดชอบงานปฏิบัติการข่าว และระหว่างการเคลียร์พื้นที่ใน จ.ภูเก็ต เพื่อเตรียมต้อนรับการประชุมผู้นำอาเซียน พ.อ.(ส)ก็ถูกส่งตัวไปช่วยหาข่าวที่ จ.ภูเก็ตด้วย แต่เมื่อมีข่าวถูกเปิดเผยว่าเป็นหัวหน้าทีมลอบสังหารนายสนธิ พ.อ.(ส) ก็หายหน้าไปจากพื้นที่จังหวัดภาคใต้
ถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครยืนยันว่า พ.อ.(ส) ไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนแน่ แต่ยังเชื่อว่าไม่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศ และหากมีการออกหมายจับหรือหมายเรียกก็ไม่แน่ใจว่า พ.อ.(ส) จะเข้ามอบตัวสู้คดีหรือจะหลบหนีตามลูกน้องจ่าญาไปอีกราย เพื่อตัดตอนไม่ให้มีการสาวถึงคนบงการนั่นเอง