xs
xsm
sm
md
lg

"คำนูณ" แนะ "มาร์ค" คุมสื่อ-ใช้เสน่ห์ต่อสาธารณะ ดึงปชช.พิทักษ์กษัตริย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"คำนูณ" จี้ "นายกฯ" แพร่ข้อเท็จจริงการทำฏีกาล่ารายชื่อ ย้ำผู้รักสถาบันจริง ต้องพูดหากเห็นว่าไม่ถูกต้อง รับไม่เห็นด้วยกับการปฎิวัติแต่ต้องดูถึงต้นเหตุปฎิวัติด้วย แนะนายกฯใช้เสน่ห์ต่อสาธารณะดึง ปชช. เข้าใจผลร้ายหากนำสถาบันแปดเปื้อนการเมือง ด้าน "นพ.บุรณัชย์" ระบุการล่ารายชื่อแค่เปลี่ยนวิธีแต่มีเป้าหมายเดียวคือสร้างความแตกแยก เผยสาเหตุล่า "นช.แม้ว" เพื่อสร้างบรรทัดฐานความยุติธรรมให้บ้านเมือง


คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "คนในข่าว"

รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 14 กรกฎาคม โดยนายเติมศักดิ์ จารุปราน เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา และนพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมพูดคุยถึงผลร้ายของการล่ารายชื่อถวายฎีกาและแนวทางที่รัฐควรกระทำในภาวะเช่นนี้

นายคำนูณ กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีการละเมิดหรือหมิ่นเหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คณะกรรมาธิการวุฒิสภาจะมีการแถลงข่าวตามสมควร และกรณีการล่ารายชื่อถวายฏีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษของ ทักษิณ ไม่ใช่ว่าเราเพิ่งจะมาแถลงในวันนี้ ที่จริงมีการแถลงไปแล้วก่อนหน้านั้นเมื่อครั้งประชุมตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อน ในประเด็นเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินอย่างจริงจัง ในการให้ข้อมูลต่อประชาชน ถึงหลักกฎเกณฑ์การถวายฎีกาทั้งที่เป็นลายลักษ์อักษรและจารีตประเพณี ว่ามีอะไรบ้าง โดยเพาะอย่างยิ่งการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ที่มีกฎเกณฑ์การใช้ที่ชัดเจน ว่าผู้ที่ขอพระราชทานอภัยโทษได้จะต้องเป็นผู้ที่เข้าสู่กระบวนการศาลจนคดีถึงที่สุด และกำลังรับโทษอยู่ โดยระหว่างที่รับโทษได้สำนึกในความผิดแล้วยื่นขอพระราชทานอภัยโทษด้วยตนเอง หรือไม่ก็ให้ญาติพี่น้องยื่นแทน ตรงนี้จะให้ทนายยื่นไม่ได้ และต้องยื่นต่อกรมราชฑัณฑ์ต้นสังกัด เป็นขั้นเป็นตอนไป

อย่างไรก็ดีตนมองว่า ผู้ที่ออกมาให้ความเห็นสวนใหญ่อาจจะไม่รู้ข้อมูลที่ครบถ้วนรอบด้าน และการให้สัมถาษณ์อาจจะเผยแพร่ได้ไม่ทั่วถึง ประกอบกับสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่เห็นรัฐบาลให้ความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร เพิ่งจะมาเห็นก็เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่สั่งให้กรมราชฑัณฑ์นำข้อมูลทั้งหมดออกมาเผยแพร่ ดังนี้คณะกรรมาธิการจึงมีการประชุมกันอีกครั้งโดยเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง จึงมีมติที่จะแถลงข่าว เรียกร้องรัฐบาล ให้จริงจังต่อเรื่องนี้ โดยการจัดแถลงข่าวอย่างเป็นระบบ ผ่านสื่อของรัฐ ถึงกฏเกณฑ์ทั้งที่เป็นรายลักอักษรและที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ รวมถึงพิจารณาเนื้อหาของฎีกา ว่า เนื้อหามีลักษณะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่

“มติคณะกรรมาธิการเห็นพร้องต้องกันว่าหากนายกฯ พอมีเวลาว่าง ก็อยากจะเชิญเข้ามาให้ข้อมูลหารือร่วมกัน เพื่อรับฟังข้อมูลของคณะกรรมการที่มีความห่วงใย ว่าสิ่งที่เราเห็นมันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ซึ่งเป็นการวิตกกังวลมากไปหรือไม่ รัฐบาลประเมินสถานการณ์นี้อย่างไร แล้วมาปรับจูนเข้าหากัน หรือรัฐบาลทำเต็มที่แล้วเราไม่ต้องห่วงเลยใช่หรือไม่”นายคำนูณ กล่าว

นายคำนูณ กล่าวถึงแบบฟอร์มร่างฏีกาล่ารายชื่อ ว่า ข้อความที่เขียนเป็นการจงใจเขียน เหมือนกับการหลอกด่า แฝงนัยยะลักษณะหมิ่นเหม่ศาลและสถาบันกษัตริย์ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าการกระทำดังกล่าวไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์ที่จะทำได้ แต่ก็ยังฝืนทำไปเพื่อต้องการเอามวลชนเข้ามากดดัน สร้างอิทธิพลหวังต่อผล หากมีผลของฏีกาออกมาแล้ว ก็จะเอาข้อมูลนี้ไปโฆษณาปั่นหัวในหมู่ประชาชนที่เข้าไม่ถึงข้อมูลให้เกิดการเข้าใจผิด อันเป็นที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ ทั้งๆที่การยื่นฎีกาอาจตกไปตั้งแต่ขั้นไม่เข้าเกณฑ์ โดยที่พระองค์ท่านยังไม่ได้วินิจฉัย ส่วนข้อความในแบบฟอร์มร่างฎีกา ที่บอกว่า ทั้งหมดนี้ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลไต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เพื่อทรงทราบว่าเวลานี้เหลือที่พึ่งสุดท้ายหนึ่งเดียวที่ข้าพระพุทธเจ้าจะพึ่งได้ คือใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เพราะทรงบำเพ็ญพระกรณีย์กิจบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ทวยราษฎ์เสมอมา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิษราชธรรม มีสายพระเนตรยาวไกล คงจะไม่ปล่อยปะละเลยให้พสกนิกรให้จมอยู่กับความระทมทุกข์ยาวนานเกินไป ซึ่งหากฏีกาฉบับนี้ผลออกมาไม่เป็นไปตามที่เขียนไว้ สิ่งที่จะนำไปโฆษณาในกลุ่มคนที่สนับสนุนทักษิณ จะเป็นอย่างไรตนไม่ขอพูดถึงในประเด็นนี้ ถ้าเอาแค่ว่าควรหรือไม่ควร ตนคิดว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง คนไทยที่เกิดใต้ล่มพระบรมโพธิสมภารไม่ควรเขียนในลักษณะอย่างนี้ ทั้งที่รู้ว่ามันผิดขั้นตอน ผิดกฎเกณฑ์ ก็ยังพยายามกระทำ แถมยังเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตรงนี้ต้องเข้าใจกรณีดังกล่าวมันไม่ใช่ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษปกติ นี้มันเป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการคอร์รัปชัน ไม่ใช่แค่การให้บัตรประชาชนให้ภรรยาไปทำนิติกรรมซื้อที่ดิน แต่มันเป็นการผิดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 100 และผิดรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์

“ไม่เห็นด้วยกับคนบางกลุ่มที่บอกว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินไม่ควรนำมาพูด เพราะถ้าหากคนที่ต้องการปกป้องแล้วไม่ออกมาพูดเลย ในขณะที่คนที่มีเจตนาอีกอย่างหนึ่งนึกจะพูดอะไรก็พูดแล้วก็เผยแพร่อยู่ทุกวัน จะทำให้การต่อสู้เพื่อพิทักษ์ปกป้องเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งนี้คนที่จะเทิดทูล คนที่จะจงรักษ์ภัคดีนอกจะกราบไหว้ก่อนนอนแล้ว เมื่อเห็นอะไรไม่ถูกไม่ควรก็ควรออกมาพูด และเวลาก็ต้องรัฐบาลเท่านั้น เพราะโดยประเพณีราชสำนักไทยเรา ไม่มีโฆษกราชสำนัก” นายคำนูณ กล่าว

นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเหมือนมีกรรม เคยพลาดมาหนหนึ่งแล้วเมื่อสมัยรัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ หนึ่งปีที่เกือบจะสูญเปล่า ยอมรับว่าการรัฐประหารมันผิด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราก็มักจะพูดแต่สิ่งที่ไม่ดีที่มันเกิดขึ้นหลังรัฐประหาร ไม่เคยพูดว่าก่อนการรัฐประหารสถานการณ์มันเป็นอย่างไร มีการพยายายามทำลายรัฐธรรมนูญ 2540 อย่างไร จนกระทั่งมีนักวิชาการเขียนว่ารัฐธรรมนูญตายแล้ว รัฐธรรมนูญ 40 ถูกทักษิณ แทรกแซง ใช้ช่องว่างต่างๆทำให้มันไม่มีผล ก่อนที่คณะรัฐประหารจะยกเลิกด้วยซ้ำ ดังนี้หากรัฐบาลยังไม่ใช้สื่อที่มีอยู่ในมือ บอกกล่าวแก่ประชาชนตามความเป็นจริง คะแนนนิยมที่ได้รับการตอบรับประชาชนสูง อาจจะไม่สูงอีกต่อไป ซึ่งข้อเท็จจริงวันนี้ก็ลดลงกว่าเมื่อหลังเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเดือนเมษายนพอสมควรแล้ว และการที่ทักษิณ มักพูดว่าถูกรังแกโดยการทำรัฐประหารแย่งอำนาจ ตรงนี้การตัดตอนด้วยการรัฐประหารมันจบไปแล้ว เพราะหลังจากนั้นก็มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งพรรคพลังประชาชนก็ได้รับการเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาล แล้วในขณะนั้นทักษิณ เองก็กลับมาจูบแผ่นดิน พร้อมประกาศชัดเจนว่าจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งท่านก็ยอมรับกระบวนการยุติธรรมไทย เพราะใครว่าท่าน ท่านก็ฟ้องดะไปหมด คือถ้าเห็นว่าได้เปรียบก็สู้โดยกระบวนการยุติธรรมไทย ถ้าเห็นว่าสู้คดีแล้วจะแพ้ก็บอกว่ากระบวนการไม่ยุติธรรม ทั้งที่ศาลที่ดำเนินดคี ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคณะรัฐประหารเลย

นายคำนูณ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้เหมาะมากที่จะขึ้นมาในสถานการณ์บ้านเมืองปกติ แต่นี่มันยุคสงครามโค่นล้มระบอบ นายกฯควรเริ่มต้น ที่จะเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ต้องคิดว่ารัฐบาลขณะนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ มีภารกิจที่ต้องปฏิบัติหน้าที่พิเศษบางประการที่แตกต่างจากรัฐบาลทั่วไป โดยสิ่งที่นายกฯพูดตั้งแต่ตอนที่เข้าดำรงตำแหน่งใหม่ๆ ว่าจะ “ยุติการเมืองที่ล้มเหลว ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ให้ใครนำมาสร้างความขัดแย้งหรือดึงลงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง” ณ ปัจจุบันร่างฏีกาล่ารายชื่อมันดึงเอาสถาบันลงมาเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างชัดเจน ถึงแม้นายกฯจะพยายามหาวิธีถนอมความรู้สึกทั้งสองฝ่าย แต่ต้องคำนึงถึงหลักความจริงด้วย ว่า การต่อสู้กับความเท็จต้องสู้ด้วยความจริง ดังนั้นจะเงียบไม่ได้ และนี่ก็ไม่ใช่เป็นการประณามใคร แต่ทำเพื่อชี้แจงความจริง ดังนั้นรัฐบาลต้องแร่งชี้แจงอย่างเป็นระบบ ถึงกระบวนการขั้นตอนต่างๆ กรณีถวายฏีกาทั่วไป เป็นอย่างไร ถวายฏีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษเป็นอย่างไร หากราชสำนักราชเลขาไม่แถลงเอง โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีก็น่าจะแถลงให้ประชาชนรับรู้ ซึ่งจะทำให้การใช้วิจารณญาณของประชาชนได้อยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง และบุคคลที่พูดมันก็สำคัญถ้ากระทรวงยุติธรรมให้แต่โฆษกออกมาพูดก็จะไม่เหมาะมันไม่หนักแน่น นายกฯต้องออกมาพูดด้วยตนเอง อีกอย่างการพิจารณาเนื้อหา ซึ่งก็เป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อเห็นว่ามันเข้าข่ายหมิ่นเหม่ก็ต้อง ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเมือประชาชนเห็นว่ามันผิดแล้วมาร้องทุกข์กล่าวโทษ เจ้าหน้าที่ก็ต้องรับเรื่องดำเนินการไปตามขั้นตอน ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ว่ากันไปอีกเรื่องหนึ่ง

นายคำนูณ กล่าวอีกว่า นายกฯอย่าประมาทกับคนพวกนี้ ในฐานะที่ท่านเป็นคนที่มีเสน่ห์ต่อสาธารณะสูงที่สุดคนหนึ่งของประเทศ มีความสามารถในการพูดในประเทศนี้มีไม่กี่คน ที่พูดเรื่องยากๆให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย ชนิดที่ว่าคนฟังเกียดไม่ลงและพร้อมที่จะเชื่อ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือท่าน อย่างไรก็ดีผมไม่อยากพูดว่ารายการท่านในวันอาทิตย์ ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ เหมือนอาหารที่ไม่เติมเครื่องปรุง คนไทยมันต้องปรุงไม่อย่างนั้นมันเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง และวิธีการที่จะเรียกร้องความสนใจท่านไม่จำเป็นต้องเอาดาราเข้ามาร่วมรายการ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจไม่ต้องไปหาที่ไหนมันมีอยู่ครบในตัวของท่านแล้ว เพียงแค่ใช้เสน่ห์ทีท่านมีต่อสาธารณะ มาพูดความจริงจับเข่าคุยกับประชาชน โดยส่วนตัวเชื่อว่าถ้าท่านพูดเรื่องถวายฏีกา ให้พี่น้องประชาชนใช้วิจารณญาณ จะเห็นผลทันตาเหมือนใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จะทำให้ประชาชนไม่ว่าจะอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศก็จะขวนขวายเปิดดูรายการของท่าน

“ท่านปรีดี พนมยงค์ กล่าวไว้ว่า เมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจข้าพเจ้าไม่มีประสบการณ์ เมื่อข้าพเจ้ามีประสบการณ์ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจ เพราะฉะนั้นระหว่างที่ท่านนายกฯมีอำนาจตามกฎหมาย ต้องเร่งสั่งสมประสบการณ์ขึ้นมาโดยเร็ว ลองปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง เชื่อว่า ถ้าท่านได้ทำแล้ว เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง จะเปลี่ยนความคิดของประชาชนได้มากทีเดียว และเชื่อว่าไม่มีใครทำได้ดีเท่าท่าน” นายคำนูณ กล่าว

นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า การล่ารายชื่อถวายฎีกาเป็นสิ่งที่กระทำโดยมีเป้าหมายเดิมเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบของกิจกรรม โดยผลที่ได้จากการปลุกระดมในเรื่องการถวายฎีกานั้น มีผลสำรวจออกมาชัดเจนว่าประเทศถูกแบ่ง จากกลุ่มคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย สิ่งนี้จะกลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหม่ครั้งใหญ่ โดยสัญญาณที่สื่อออกมาส่อให้เห็นถึงความคลายคลึงกับช่วงเหตุการณ์วันสงกรานต์ที่ผ่านมา ที่จะนำมามาฉุดเป็นประเด็นสร้างเป็นเงื่อนไขให้เกิดความแตกแยกอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่เพียงก่อให้เกิดความแตกแยกหวังผลทางการเมือง แต่หวังผลที่จะได้ คือกดดันต่อรองต่อสถาบันสูงสุดโดยตรง เพราะฉะนั้นก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย อยากให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรง ออกมาให้ข้อเท็จจริง ให้ประชาชนได้ทราบ ว่าการไปผูกเรื่องอภัยโทษกับประเพณีเก่าแก่เรื่องการถวายฏีกามันเป็นคนละเรื่องกัน

นพ.บุรณัชย์ กล่าวต่อว่า สิงที่จะประจักษ์ตลอดเวลาที่มีกระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้น คนแรกที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด คือ นายชวน หลีกภัย ขณะนั้นยังไม่ได้เป็นรัฐบาลด้วยซ้ำ แต่เมื่อเป็นรัฐบาลเข้ามาสู่ในความรับผิดชอบแล้ว การดำเนินการในหลายส่วนก็ต้องระมัดระวังคือ ไม่ทำในลักษณะที่ถูกใช้เป็นเงื่อนไขสร้างความแตกแยก เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายที่ต้องการยุให้เกิดความแตกแยกนำไปเป็นประเด็น ว่ามีการสมคบกันระหว่าง เหล่าทัพ สถาบันตุลาการ องค์มนตรี ประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ เพื่อที่จะล้ม ทักษิณ ทั้งที่แท้จริงแล้วองค์กรเหล่านั้นยึดมั่นเจตนารมย์ไม่ต้องการที่จะตกเป็นเครื่องมือตั้งแต่ในสมัยที่ทักษิณมีอำนาจ แล้ว และวันนี้ทักษิณมาบอกว่าองค์กรเหล่านั้นเป็นปฎิปักษ์ จึงสร้างมวลชนเพื่อต่อรองกดดัน อย่างไรก็ดีทักษิณเคยพูดไว้อย่างชัดเจนว่า การที่ตนจะกลับเข้าประเทศไทยได้นั้นมีอยู่สองอย่าง คือมีสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือประชาชนเท่านั้น ตรงนี้บอกเป็นนัยยะที่ชัดเจนที่สุด การก่อเหตุวุ่นวายมีเป้าหมายเดียวกันหมดแต่วิธีการเปลี่ยนไป ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งชี้แจงให้ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่เห็นว่าการดึงสถาบันสูงสุดเข้ามาแปดเปื้อนกับการเมืองเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม

“วันนี้สิ่งที่น่าสังเกตจากแบบฟอร์มฏีกาล่ารายชื่อ มันไปผูกโยงกับประเด็นของความผิดว่าความผิดนั้นมันอยู่ที่ระบบอยู่ที่สถาบันศาล อยู่ที่กระบวนการยุติธรรม อยู่ที่ทุกส่วนยกเว้นไม่ได้อยู่ที่ ทักษิณ เลย อันนี้มันเป็นความผิดปกติของการขอพระราชการอภัยโทษ เพราะยังไม่เคยมีใครเห็นถึงความสำนึกผิด หรือพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าสำนึกต่อการกระทำ ทักษิณ พูดตลอดเวลาว่าถูกแทรกแซง แต่หลักฐานเดียวที่มีให้เห็นในปัจจุบัน คือทนายของทักษิณพยายามเอาเงินไปติดสินบนศาล ตรงนี้รัฐบาลพยายามสื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงหลักความถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมก่อนชั้นศาลต่างๆ รัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซง อย่างไรก็ดีคดีคดีทักษิณ ยังมีอยู่อีกกว่า 10 ดคี กระบวนการเหล่านี้ก็ได้เดินหน้าไปโดยไม่มีการถูกแทรกแซง แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้นายกฯ ต้องพูดถึงทักษิณและสาเหตุที่ต้องไล่ล่าทักษิณ ซึ่งผมเชื่อว่าสิ่งที่นายกฯทำเพียงเพื่ออยากให้ประเทศชาติบ้านเมืองเดินหน้า อยากให้ก้าวข้ามระบอบทักษิณ และวิธีดีที่สุดก็ต้องรักษากฎหมาย ดังนั้นหากทักษิณไม่มารับโทษโดยสมัครใจ ก็จำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือกับต่างประเทศเอาตัวกลับมาดำเนินคดี เพื่อแสดงให้เห็นว่า ความยุติธรรมมีอยู่ในบ้านเมือง หลักยุติธรรมสามารถรักษาบ้านเมืองได้” นพ.บุรณัชย์ กล่าว

นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ตั้งแต่นายกฯเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ไม่เคยมองว่าอยู่ในสถานการณ์ปกติ เพราะเข้ามาในช่วงวิกฤติ แต่หลักเกณฑ์ในการดำเนินนโยบายทุกเรื่องจะคำนึงถึงหลักพื้นฐาน 1. พิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.แก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 3.ปฏิรูปการเมือง 4.แก้วิกฤติเศรษฐกิจ ตนคิดว่าหากนายกฯ ไม่แสดงวุฒิภาวะหนักแน่นภายใต้สถานการณ์รุนแรง คงมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นไปแล้ว ยืนยันได้จากมติของคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงพูดชัดว่าการกระทำของกลุ่มเสื้อแดงมีการเตรียมการ ให้เกิดสภาวะที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมบ้านเมืองได้ อันจะนำไปสู่การปฏิวัติ นำไปสู่สงครามการเมือง คิดว่าสิ่งเหล่านี้รัฐบาลตระหนักดี เพียงแต่รัฐบาลจะพูดหรือไม่ ซึ่งบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องพูดเพียงแต่แสดงออกที่การกระทำก็พอ เช่น ปิดเว็บไซน์ วิทยุชุมชน ที่ใช้สื่อในการปลุกระดมสร้างความแตกแยก หมิ่นเหม่ต่อสถาบัน และเรื่องดังกล่าวก็มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง กระทรวงไอซีที ได้เฝ้าระวัง สืบขยายไปถึงต้นตอคนทำด้วย
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษก ปชป.
กำลังโหลดความคิดเห็น