ไม่ว่าจะชั่วดีถี่ห่างอย่างไร หรือเป็นนักการเมืองรุ่นเด็ก หน้าใหม่หน้าไม่หล่อ (เท่านายกฯ) ก็ตาม แต่ส่วนตัวผมก็ให้ความชื่นชมกับ ส.ส.กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ชื่อ
“เดอะแจ๊ค – วัชระ เพชรทอง”
* ชื่นชมในความยืนหยัดมั่นคงในเส้นทางการเมืองที่แม้จะผ่านการสอบตกมา 2 -3 ครั้งแต่ก็ไม่ยอมท้อถอย กระทั่งเลือกตั้งซ่อมเมื่อปลายปี 2551 ขณะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลและ “เดอะแจ๊ค” ก็เป็นวิทยากร ผู้ปราศรัยขาประจำรอบดึกที่เราเรียกกันว่าช่วง “ยามไทม์” ที่มิใช่ไพรม์ไทม์...
มิอาจปฏิเสธได้ว่า นอกเหนือจากเพราะกระแสพรรคประชาธิปัตย์ และความเป็นนักต่อสู้ที่หาญกล้าของเจ้าตัวแล้ว เวทีพันธมิตรฯ ก็เป็นแรงหนุนส่งสำคัญประการหนึ่งที่ให้คนชื่อวัชระนำโด่งม้วนเดียวจบโดยไม่ต้องมีพระนำหน้า...
* ชื่นชมในความสำนึกของวัชระที่เขายังไม่ลืมเวทีพันธมิตรฯ ไม่ลืมพี่น้องพันธมิตรฯ และพูดเต็มปากเต็มคำเสมอว่าพันธมิตรฯ เป็นผู้มีพระคุณกับเขา ไม่แต่เท่านั้นเท่าที่ติดตามในบางโอกาสระหว่างการประชุมสภาฯ ผมได้เห็น ส.ส.ชื่อวัชระนั่งปรึกษาหารือกับ ส.ส.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ และได้ช่วยตอบโต้แก้ต่างให้กับพันธมิตรฯ ที่ถูก ส.ส.อีกพวกอภิปรายใส่ร้าย
จริงอยู่บางคนอาจจะบอกว่า เพราะเขา (วัชระ) ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ มีส่วนร่วมกับพันธมิตรฯ ตรงๆ จึงต้องญาติดีกับพันธมิตรฯ อย่างไม่อาจเป็นอื่นไปได้ – เรื่องนี้ผมคงต้องแลกเปลี่ยนว่า อันที่จริงคนชื่อวัชระจะไม่พูดถึงหรือนึกถึงพันธมิตรฯ เลยก็ได้ถ้าเขาแคร์หรือมีหลักคิดว่า การพูดถึงหรือขอบคุณพันธมิตรฯ จะทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสียหาย ไม่เป็นกลาง จะทำให้นักข่าวประทับตราเขาว่าเป็น ส.ส.สายพันธมิตรฯ หรือมากไปกว่านั้นถ้าเขาคิดไปไกลว่าการที่เขาขึ้นเวทีพันธมิตรฯ มันคือความกล้าหาญเสียสละของเขา พันธมิตรฯ ต่างหากที่ควรจะขอบคุณเขา....
แต่ “เดอะแจ๊ค” ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น ด้านหนึ่ง อาจเพราะเขาเคยเป็นผู้นำนักศึกษาที่ผ่านการเรียกร้องต่อสู้ เคยมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับประชาชนในเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้ง 100 กว่าวันกับพันธมิตรฯ ก่อนจะลงจากเวทีไปเลือกตั้งซ่อม
พูดให้ชวนหมั่นไส้กันหน่อยก็ต้องบอกว่าคนที่ได้ผ่านการต่อสู้กับพี่น้องประชาชนได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่างเอาจริงเอาจังนั้นเป็นคนที่ “มีประวัติศาสตร์” และจะมองประชาชนอย่างมีคุณค่า จะให้เกียรติกับประชาชนหรือไม่มองประชาชนเป็นเพียงผู้หย่อนบัตรออกเสียงเลือกตั้งเท่านั้น...
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างอีกสักท่าน..ผมก็ถือวิวาสะที่จะยกตัวอย่าง คุณพิเชษฐ พัฒนโชติ ที่แม้ว่าในรายการ “สภาท่าพระอาทิตย์” ทาง ASTV เมื่อวาน (14 ก.ค.) และเมื่อวันก่อนโน้นพวกเราในฐานะพิธีกรอาจจะแหย่ถามจี้ใจดำเรื่องที่เขาไม่โดนหมายเรียกข้อหา “ก่อการร้าย” ทั้งๆ ที่เป็นผู้ปราศรัยที่ดอนเมือง –สุวรรณภูมิ มากที่สุดคนหนึ่ง นั่นก็เป็นไปตามบทบาทหน้าที่พิธีกร...
แต่ในฐานะเป็นมิตร เป็นคนรู้จักนักการเมืองที่ชื่อ “พิเชษฐ” มากพอสมควร ก็ต้องแสดงความชื่นชมว่าคนอย่างพิเชษฐถึงแม้จะมีตำแหน่งแห่งหนเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี (สาธารณสุข) แต่แทบทุกเวทีปราศรัยแทบทุกเวทีเสวนาวิชาการหรือแทบทุกวงเหล้าวงข้าว คนชื่อพิเชษฐก็พูดถึงพันธมิตรฯ ด้วยความสำนึกและให้คุณค่า ให้กำลังใจ...
ส่วนเพื่อนมิตรที่ไปมีตำแหน่งแห่งหนเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีอีกคนที่ชื่อ ประพันธ์ คูณมี เจ้าของฉายา “ปากกล้าขาไม่สั่น” นั้น ไม่ว่าใครจะคิดและมองเขาอย่างไร แต่ความหาญกล้าพูดผ่านรายการต่างๆ ของ ASTV เพื่อตอบโต้การตั้งข้อหาเท็จของพนักงานสอบสวน และชกตรงไปที่บทบาท – วิธีคิดของนายกรัฐมนตรี, รองนายกฯ เมื่อไม่กี่วันก่อน น่าจะเป็นคำตอบที่เพียงพอว่าประพันธ์นั้นมีสำนึกต่อบุญคุณของพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ เพียงใด
และล่าสุดผมแว่วๆ ว่าเขาถูกผู้นำรัฐบาล “เฉ่ง” เรียบร้อยไปแล้ว ความคืบหน้าจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามกันเอาเอง...
ครับที่หยิบยกประเด็นเล็กๆ มาหมายเหตุกันตรงนี้ในวันนี้ ต้องกราบเรียนตรงๆว่า มันเป็นความรู้สึกตกค้างมาตั้งแต่วันที่ใครต่อใครรวมทั้งผมโดนยัดเยียดตั้งข้อหา “ก่อการร้าย”
ไม่ได้กลัว แต่ยอมรับว่า “เซ็งโลก”
และแน่นอน..ผิดหวังพอประมาณกับบุคคลที่ผมเคารพเป็นการส่วนตัวคือ ตัวท่านนายกฯ และรองนายกฯ ด้านความมั่นคง ซึ่งแม้ผมจะเข้าใจได้ในวิธีคิดและเหตุผลในปฏิบัติการหนนี้ แต่ก็ “รับไม่ได้”....ซึ่งผมเชื่อว่ามาถึงนาทีนี้ทั้งสองท่านน่าจะสรุปได้แล้วว่า การปล่อยผ่านให้เหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้ผลมันเป็นอย่างไร ..
สุดท้ายก็ต้องพลิกตัวตั้งหลักตั้งลำกันใหม่ กลับมายอมรับว่าข้อหา “ก่อการร้าย”มันเกินกว่าเหตุ, กลับมาบอกว่าคนชื่อกษิต ภิรมย์ ทำงานดี และกลับมาบอกว่าแค่ถูกหมายเรียกจะให้หยุดทำหน้าที่มันก็เกินไป....
นั่นยังไม่นับการให้สัมภาษณ์ในเชิงตั้งคำถาม (แขวะ) ของท่านนายกฯ ใน 2 ประเด็นที่สำคัญ ทำนองว่า
- พันธมิตรฯ ที่อยากสร้างการเมืองใหม่เรียกร้องให้รัฐบาลแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมแล้วมันจะไหวหรือ? และ
- คนกลุ่มหนึ่งไม่เคารพตำรวจ คนอีกกลุ่มหนึ่งไม่เคารพศาล บ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไร..
ซึ่งทั้งสองประเด็นท่าน ส.ว.คำนูณ สิทธิสมาน ได้เขียนไว้ในคอลัมน์ “หน้ากระดานเรียงห้า” ไปแล้ว
ผมมานั่งคิดนอนคิดแล้ว ทั้งหลายทั้งปวงก็ต้องย้อนไป ณ จุดที่ว่า ที่มันแลเห็นเป็นไปเช่นนี้ก็เพราะท่านนายกฯ และผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์บางส่วน ติดกับดักและเกรงจนเกร็งกับข้อหา “สองมาตรฐาน” ที่พวกเสื้อแดงทั้งนอกและในสภาตั้งธงหยิบยื่นให้ และที่สำคัญก็คือความเกร็งที่จะถูกมองว่า..รัฐบาลชุดนี้เป็นพวกเดียวกับพันธมิตรฯ
ซึ่งจะว่าไป ในมุมคิดของรัฐบาลก็อาจจะมองว่าเดินมาถูกทางแล้วก็ได้ เพราะการยัดข้อหา “ก่อการร้าย” วันนี้ทำให้สังคมมองว่าพันธมิตรฯ กับรัฐบาลกำลังหันหน้ากันคนละทาง สร้างดาวกันคนละดวง สมใจใครบางคนแล้ว
แต่นั่นก็ใช่ว่าจะละลายลบเลือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ว่า ถ้าไม่มีการต่อสู้ของพันธมิตรฯ 193 วัน ก็ไม่มีรัฐบาลอภิสิทธิ์ แม้จะมีการประดิษฐ์วาทกรรม “ไม่มีเขา (เนวิน) ก็ไม่มีเรา” ขึ้นมากลบเกลื่อนก็ตาม
ยิ่งวิ่งหนีความจริงยิ่งฝันร้าย ยิ่งไม่อยากเอ่ยอ้างหนี้บุญคุณก็ยิ่งจะเป็นหนี้ส่วนลึกทางใจ...
ยกเว้น ไม่เคยมีคำว่า..ประชาชนชาวพันธมิตรฯ อยู่ในหัวใจท่านเลยแม้แต่น้อยนิด !!??
samr_rod@hotmail.com
“เดอะแจ๊ค – วัชระ เพชรทอง”
* ชื่นชมในความยืนหยัดมั่นคงในเส้นทางการเมืองที่แม้จะผ่านการสอบตกมา 2 -3 ครั้งแต่ก็ไม่ยอมท้อถอย กระทั่งเลือกตั้งซ่อมเมื่อปลายปี 2551 ขณะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลและ “เดอะแจ๊ค” ก็เป็นวิทยากร ผู้ปราศรัยขาประจำรอบดึกที่เราเรียกกันว่าช่วง “ยามไทม์” ที่มิใช่ไพรม์ไทม์...
มิอาจปฏิเสธได้ว่า นอกเหนือจากเพราะกระแสพรรคประชาธิปัตย์ และความเป็นนักต่อสู้ที่หาญกล้าของเจ้าตัวแล้ว เวทีพันธมิตรฯ ก็เป็นแรงหนุนส่งสำคัญประการหนึ่งที่ให้คนชื่อวัชระนำโด่งม้วนเดียวจบโดยไม่ต้องมีพระนำหน้า...
* ชื่นชมในความสำนึกของวัชระที่เขายังไม่ลืมเวทีพันธมิตรฯ ไม่ลืมพี่น้องพันธมิตรฯ และพูดเต็มปากเต็มคำเสมอว่าพันธมิตรฯ เป็นผู้มีพระคุณกับเขา ไม่แต่เท่านั้นเท่าที่ติดตามในบางโอกาสระหว่างการประชุมสภาฯ ผมได้เห็น ส.ส.ชื่อวัชระนั่งปรึกษาหารือกับ ส.ส.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ และได้ช่วยตอบโต้แก้ต่างให้กับพันธมิตรฯ ที่ถูก ส.ส.อีกพวกอภิปรายใส่ร้าย
จริงอยู่บางคนอาจจะบอกว่า เพราะเขา (วัชระ) ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ มีส่วนร่วมกับพันธมิตรฯ ตรงๆ จึงต้องญาติดีกับพันธมิตรฯ อย่างไม่อาจเป็นอื่นไปได้ – เรื่องนี้ผมคงต้องแลกเปลี่ยนว่า อันที่จริงคนชื่อวัชระจะไม่พูดถึงหรือนึกถึงพันธมิตรฯ เลยก็ได้ถ้าเขาแคร์หรือมีหลักคิดว่า การพูดถึงหรือขอบคุณพันธมิตรฯ จะทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสียหาย ไม่เป็นกลาง จะทำให้นักข่าวประทับตราเขาว่าเป็น ส.ส.สายพันธมิตรฯ หรือมากไปกว่านั้นถ้าเขาคิดไปไกลว่าการที่เขาขึ้นเวทีพันธมิตรฯ มันคือความกล้าหาญเสียสละของเขา พันธมิตรฯ ต่างหากที่ควรจะขอบคุณเขา....
แต่ “เดอะแจ๊ค” ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น ด้านหนึ่ง อาจเพราะเขาเคยเป็นผู้นำนักศึกษาที่ผ่านการเรียกร้องต่อสู้ เคยมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับประชาชนในเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้ง 100 กว่าวันกับพันธมิตรฯ ก่อนจะลงจากเวทีไปเลือกตั้งซ่อม
พูดให้ชวนหมั่นไส้กันหน่อยก็ต้องบอกว่าคนที่ได้ผ่านการต่อสู้กับพี่น้องประชาชนได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่างเอาจริงเอาจังนั้นเป็นคนที่ “มีประวัติศาสตร์” และจะมองประชาชนอย่างมีคุณค่า จะให้เกียรติกับประชาชนหรือไม่มองประชาชนเป็นเพียงผู้หย่อนบัตรออกเสียงเลือกตั้งเท่านั้น...
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างอีกสักท่าน..ผมก็ถือวิวาสะที่จะยกตัวอย่าง คุณพิเชษฐ พัฒนโชติ ที่แม้ว่าในรายการ “สภาท่าพระอาทิตย์” ทาง ASTV เมื่อวาน (14 ก.ค.) และเมื่อวันก่อนโน้นพวกเราในฐานะพิธีกรอาจจะแหย่ถามจี้ใจดำเรื่องที่เขาไม่โดนหมายเรียกข้อหา “ก่อการร้าย” ทั้งๆ ที่เป็นผู้ปราศรัยที่ดอนเมือง –สุวรรณภูมิ มากที่สุดคนหนึ่ง นั่นก็เป็นไปตามบทบาทหน้าที่พิธีกร...
แต่ในฐานะเป็นมิตร เป็นคนรู้จักนักการเมืองที่ชื่อ “พิเชษฐ” มากพอสมควร ก็ต้องแสดงความชื่นชมว่าคนอย่างพิเชษฐถึงแม้จะมีตำแหน่งแห่งหนเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี (สาธารณสุข) แต่แทบทุกเวทีปราศรัยแทบทุกเวทีเสวนาวิชาการหรือแทบทุกวงเหล้าวงข้าว คนชื่อพิเชษฐก็พูดถึงพันธมิตรฯ ด้วยความสำนึกและให้คุณค่า ให้กำลังใจ...
ส่วนเพื่อนมิตรที่ไปมีตำแหน่งแห่งหนเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีอีกคนที่ชื่อ ประพันธ์ คูณมี เจ้าของฉายา “ปากกล้าขาไม่สั่น” นั้น ไม่ว่าใครจะคิดและมองเขาอย่างไร แต่ความหาญกล้าพูดผ่านรายการต่างๆ ของ ASTV เพื่อตอบโต้การตั้งข้อหาเท็จของพนักงานสอบสวน และชกตรงไปที่บทบาท – วิธีคิดของนายกรัฐมนตรี, รองนายกฯ เมื่อไม่กี่วันก่อน น่าจะเป็นคำตอบที่เพียงพอว่าประพันธ์นั้นมีสำนึกต่อบุญคุณของพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ เพียงใด
และล่าสุดผมแว่วๆ ว่าเขาถูกผู้นำรัฐบาล “เฉ่ง” เรียบร้อยไปแล้ว ความคืบหน้าจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามกันเอาเอง...
ครับที่หยิบยกประเด็นเล็กๆ มาหมายเหตุกันตรงนี้ในวันนี้ ต้องกราบเรียนตรงๆว่า มันเป็นความรู้สึกตกค้างมาตั้งแต่วันที่ใครต่อใครรวมทั้งผมโดนยัดเยียดตั้งข้อหา “ก่อการร้าย”
ไม่ได้กลัว แต่ยอมรับว่า “เซ็งโลก”
และแน่นอน..ผิดหวังพอประมาณกับบุคคลที่ผมเคารพเป็นการส่วนตัวคือ ตัวท่านนายกฯ และรองนายกฯ ด้านความมั่นคง ซึ่งแม้ผมจะเข้าใจได้ในวิธีคิดและเหตุผลในปฏิบัติการหนนี้ แต่ก็ “รับไม่ได้”....ซึ่งผมเชื่อว่ามาถึงนาทีนี้ทั้งสองท่านน่าจะสรุปได้แล้วว่า การปล่อยผ่านให้เหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้ผลมันเป็นอย่างไร ..
สุดท้ายก็ต้องพลิกตัวตั้งหลักตั้งลำกันใหม่ กลับมายอมรับว่าข้อหา “ก่อการร้าย”มันเกินกว่าเหตุ, กลับมาบอกว่าคนชื่อกษิต ภิรมย์ ทำงานดี และกลับมาบอกว่าแค่ถูกหมายเรียกจะให้หยุดทำหน้าที่มันก็เกินไป....
นั่นยังไม่นับการให้สัมภาษณ์ในเชิงตั้งคำถาม (แขวะ) ของท่านนายกฯ ใน 2 ประเด็นที่สำคัญ ทำนองว่า
- พันธมิตรฯ ที่อยากสร้างการเมืองใหม่เรียกร้องให้รัฐบาลแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมแล้วมันจะไหวหรือ? และ
- คนกลุ่มหนึ่งไม่เคารพตำรวจ คนอีกกลุ่มหนึ่งไม่เคารพศาล บ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไร..
ซึ่งทั้งสองประเด็นท่าน ส.ว.คำนูณ สิทธิสมาน ได้เขียนไว้ในคอลัมน์ “หน้ากระดานเรียงห้า” ไปแล้ว
ผมมานั่งคิดนอนคิดแล้ว ทั้งหลายทั้งปวงก็ต้องย้อนไป ณ จุดที่ว่า ที่มันแลเห็นเป็นไปเช่นนี้ก็เพราะท่านนายกฯ และผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์บางส่วน ติดกับดักและเกรงจนเกร็งกับข้อหา “สองมาตรฐาน” ที่พวกเสื้อแดงทั้งนอกและในสภาตั้งธงหยิบยื่นให้ และที่สำคัญก็คือความเกร็งที่จะถูกมองว่า..รัฐบาลชุดนี้เป็นพวกเดียวกับพันธมิตรฯ
ซึ่งจะว่าไป ในมุมคิดของรัฐบาลก็อาจจะมองว่าเดินมาถูกทางแล้วก็ได้ เพราะการยัดข้อหา “ก่อการร้าย” วันนี้ทำให้สังคมมองว่าพันธมิตรฯ กับรัฐบาลกำลังหันหน้ากันคนละทาง สร้างดาวกันคนละดวง สมใจใครบางคนแล้ว
แต่นั่นก็ใช่ว่าจะละลายลบเลือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ว่า ถ้าไม่มีการต่อสู้ของพันธมิตรฯ 193 วัน ก็ไม่มีรัฐบาลอภิสิทธิ์ แม้จะมีการประดิษฐ์วาทกรรม “ไม่มีเขา (เนวิน) ก็ไม่มีเรา” ขึ้นมากลบเกลื่อนก็ตาม
ยิ่งวิ่งหนีความจริงยิ่งฝันร้าย ยิ่งไม่อยากเอ่ยอ้างหนี้บุญคุณก็ยิ่งจะเป็นหนี้ส่วนลึกทางใจ...
ยกเว้น ไม่เคยมีคำว่า..ประชาชนชาวพันธมิตรฯ อยู่ในหัวใจท่านเลยแม้แต่น้อยนิด !!??
samr_rod@hotmail.com