xs
xsm
sm
md
lg

ยัดข้อหาเท็จ ฟ้องกลับตำรวจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ทีมทนายพันธมิตรฯ นัดประชุมวางแนวทางสู้คดี ก่อการร้าย เล็งฟ้องตำรวจเจ้าของสำนวนยัดข้อหารายแรงเกินจริง เช่นเดียวกับผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุตำรวจตั้งข้อหาแรงเกินเหตุ ชี้พันธมิตรฯชุมนุมอยู่ด้านนอกเท่านั้น ส่วนนายกฯไม่ตอบตัดสินใจอนาคต กษิต บอกยังไม่เจอกัน ด้าน คำนูณ แนะให้ลาออกหลังประชุม รมต.ต่างประเทศอาเซียน เชื่อผู้ใหญ่บางคนใน ปชป.ต้องการให้พ้นพรรคเพื่อลบภาพใกล้ชิดพันธมิตรฯ และขจัดให้พ้นทางจากการขวางผลประโยชน์ปราสาทพระวิหาร ส่วน ปชป.ยังเชื่อมั่น กษิต จะพ้นข้อกล่าวหา วิทยา ตอกเพื่อไทยหาเรื่อง เทียบ กษิต แค่ถูกตั้งข้อกล่าวหา แต่ ทักษิณ หนีคดีอาญาทำไมเรียกร้องให้กลับมาเป็นนายกฯ

นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงแนวทางการต่อสู้คดีของแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกหมายเรียกในข้อหาร่วมกันก่อการร้าย กรณีบุกเข้าไปชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมชาย วงสวัสดิ์ ในท่าอากาศยานดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ช่วงเดือน ส.ค.51 ที่ผ่านมาว่า ในวันนี้ (9 ก.ค.) เวลา 16.00 น. ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 36 คน นัดประชุมกันที่บ้านพระอาทิตย์ เพื่อศึกษาข้อกฎหมาย และแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการต่อสู้คดี เนื่องจากเห็นว่าคดีนี้ตำรวจตั้งกล่าวข้อหาเลื่อนลอย และรุนแรงเกินกว่าความเป็นจริง ทั้งที่การชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นไปตามกรอบแห่งรัฐธรรมนูญ
ขอเวลาให้ทีมทนาย และผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 36 คนหารือกันก่อน เชื่อว่าน่าจะมีความชัดเจนถึงแนวทางการต่อสู้คดี ซึ่งอาจรวมถึงการยื่นฟ้องพนักงานสอบสวน เจ้าของสำนวนที่ตั้งข้อกล่าวหาเราอย่างเลื่อนลอย และรุนแรงเกินจริงด้วย
ส่วนคดีที่ นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และ ASTV กับพวกรวม 8 คน เป็นจำเลยฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีร่วมกันจัดรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ออกอากาศ และตีพิมพ์เผยแพร่ทำนองว่า นายนพดล ทรยศต่อทุนหลวงไปรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ (9 ก.ค.) นั้น นายสุวัตรกล่าวว่าเนื่องจากนายสนธิยังอยู่ระหว่างการรักษาตัวจากการผ่าตัดสมองหลังถูกลอบยิง ฝ่ายจำเลยจึงเตรียมยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดออกไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนจะมีการอ่านคำพิพากษาเมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

ผู้ตรวจการแผ่นดินยันตั้งข้อหาเกินจริง
นายศรีราชา เจริญพาณิช เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า แม้ว่าการกระทำของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการยึดสนามบินจะเป็นเรื่องที่ผิด ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่เกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ แต่การตั้งข้อหาแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯ โดยเฉพาะ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ถึงขั้นเป็นผู้ก่อการร้ายนั้นถือว่าเกินกว่าเหตุ เพราะพันธมิตรฯ แค่ชุมนุมอยู่ด้านนอก ไม่ได้เข้าไปในศูนย์บังคับการบิน จะถือว่าเป็นการตั้งข้อหาว่าก่อการร้ายไม่ได้ และข้อกล่าวหานี้เป็นข้อกล่าวหาทางการเมือง ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้กล่าวหายังไม่มีการพิสูจน์ว่านายกษิตมีความผิดจริงหรือไม่ ดังนั้นตามมาตรฐาน ทางการเมืองแบบไทย ๆ แล้วนายกษิต จึงยังไม่จำเป็นต้องลาออก
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงกรณีที่มีบางส่วนเรียกร้องให้นายกษิต ลาออก โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ยังไม่ได้พบนายกษิตเลย เมื่อถามย้ำว่านายกษิตระบุว่าได้โทรศัพท์คุยกับนายกฯแล้ว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ได้เจอ แต่คุยกันทางโทรศัพท์
ส่วนที่ โพลสำรวจออกมาว่า ประชาชนต้องการให้นายกษิตลาออก นายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจอย่างไร นายอภิสิทธิ์ไม่ยอมตอบทุกคำถาม พร้อมเดินหนีไปขึ้นรถทันที

แนะกษิตออกหลังประชุมรมต.อาเซียน
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่า นายกษิต ภิรมย์  รมว.ต่างประเทศที่ถูกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกในข้อหาร้ายแรง เป็นการก่อการร้าย ในการร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการบุก สนามบินสุวรรณภูมิ ควรลาออกจากตำแหน่งหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ จ. ภูเก็ต ในช่วงปลายเดือนนี้ โดยเหตุที่นายกษิต ควรลาออก ไม่ใช่เป็นเพราะการถูกหมายเรียกในข้อก่อการร้าย เพราะหากเป็นแบบนั้นใครที่โดนกลั่นแกล้งด้วยข้อหาเกินจริงก็ต้องลาออกกันหมด      แต่เหตุที่ตนเองเห็นว่านายกษิตควรลาออกเพราะเชื่อว่าแม้ว่านายกษิตจะอยู่ต่อไปก็จะทำงานลำบาก เพราะการออกหมายเรียกครั้งนี้ผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมีการรู้กันล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการอะไร และเชื่อว่า เหตุที่ทางพรรคไม่มีการดำเนินการอะไรเพราะ

เชื่อมีใครบางคนไม่อยากให้กษิตอยู่
1. เชื่อว่าคงมีใครบางคนไม่ต้องการให้ นายกษิตอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป เพื่อไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์มีภาพใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรฯ และทำให้เห็นว่ารัฐบาลมีมาตรฐานเดียวในการดำเนินคดีกับทั้งคนเสื้อแดงและพันธมิตรฯ
2. เชื่อว่านายกษิต อาจจะไปขัดผลประโยชน์ของใครในเรื่องกรณีปราสาทพระวิหารที่มีผลประโยชน์มากมาย รวมถึงเรื่องผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เพราะเห็นได้ว่านายกษิตถูกลดบทบาทลงอย่างชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา เพราะคนที่ดำเนินการเจรจาเรื่องนี้แทนที่จะเป็นนายกษิต ในฐานะ รมว.ต่างประเทศ  แต่กลับเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตร และ พล.อ.ประวิตร  วงศ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และดูเหมือนว่าท่าทีการแก้ปัญหาเรื่องปราสาทพระวิหาร ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพในเรื่องนี้มีความแตกต่างกันและเป็นทิศทาง ที่ไม่เหมือนกับที่พรรคประชาธิปัตย์สมัยเป็นฝ่ายค้าน
ด้วยเหตุผลทั้ง 2 ข้อนี้ผมจึงคิดว่านายกษิตควรลาออกดีกว่า เพราะอยู่ต่อไป ก็คงทำงานลำบาก เพราะคงต้องถูกเรียกร้องจากคนเสื้อแดงและนักวิชาการอิสระ แม้ในทางที่เปิดเผย นายอภิสิทธิ์ จะบอกว่ายังไม่เข้ากฎเกณฑ์ 9 ข้อก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าต่อจากนี้ไปนายกษิตคงทำงานลำบากโดยเฉพาะในปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่นายกษิตคงไม่สามารถยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา อย่างที่นายกษิต เคยประกาศไว้ก่อนรับตำแหน่งได้
ส่วนเรื่องที่หลายฝ่ายกังวลว่า หากนายกษิต พ้นจากตำแหน่งจะทำให้การตาม ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หยุดชะงักนั้น นายคำนูณ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความรับ ผิดชอบ ของรัฐบาลซึ่งถ้ามีความจริงใจก็สามารถหาคนมาทดแทนได้ และการล่าตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องทำหลายด้านทั้งเรื่องทางการทูตที่ต้องมีการไล่ล่าตัวในต่างประเทศ
แต่ที่สำคัญมากว่านั้นและรัฐบาลยังไม่ได้ทำคือการใช้สื่อของรัฐชี้แจงต่อประชาชนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ถูกกลั่นแกล้ง และไม่ได้ถูกห้ามเข้าประเทศไทย และหาก พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามารับโทษตามขั้นตอนทางกฎหมายก็สามารถถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษได้ แต่การล่ารายชื่อโดยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ห้ามปรามถือว่าเป็นอันตรายที่จะทำให้เกิดสถานการณ์เผชิญหน้าระหว่างสถาบันกับประชาชนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ จึงอยากให้รัฐบาลทำความชี้แจงประเด็นเหล่านี้ให้ประชาชนเข้าใจ ถึงผลกระทบต่อสถาบันอันใหญ่หลวงนี้ด้วย

โพลให้ไขก๊อกหลังประชุมรมต.อาเซียน
ขณะเดียวกันสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนใน 17 จังหวัดจำนวน 1,283 ตัวอย่าง เรื่อง สาธารณชนคิดอย่างไรต่อ รมว.ต่างประเทศ หลังข่าวมีหมายเรียกจากตำรวจ กรณีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ผลสำรวจปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 60.6 เห็นว่าควรลาออก ขณะที่ร้อยละ 39.4 เห็นว่าไม่ควรลาออก ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลาออก ประชาชนร้อยละ 45.9 ระบุควรลาออกทันที ขณะที่ร้อยละ 54.1 ระบุควรลาออกหลังเสร็จสิ้นการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน

ชี้เรียกร้องคนหนีคดีเป็นนายกฯแย่กว่า              
นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากถามถึงมาตราฐานของพรรคเกี่ยวกับกรณีนายกษิต คิดว่าเป็นการเรียกร้องจากพรรคคู่แข่ง ซึ่งพรรคที่เรียกร้องเรื่องดังกล่าวควรจะหันมาดูตัวเองด้วย เพราะวันนี้นายกษิตถูกตั้งข้อกล่าวหาเพียงเท่านั้น แต่ของทางพรรคคู่แข่งกับเรียกร้องให้ พ.ต.ต.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งที่หนีคดีที่จะต้องเข้าอยู่ในคุก
ส่วนจะเป็นแรงเสียดทานให้กับรัฐบาลหรือไม่นั้น นายวิทยา กล่าวว่า รัฐบาล ไม่ทำชั่ว ไม่คิดทุจริต ไม่คิดคอรัปชั่น เรื่องอื่นยังพอคุย แต่ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ เรื่องทุจริตคอรัปชั่นต้องห่างไกล และตนคิดว่ารัฐบาลก็ปกป้องเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านพยายามที่จะหาเรื่อง เมื่อถามว่า จะเป็นประเด็นที่นำไปสู่การ เคลื่อนไหวในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ในกลางเดือนกรกฎาคมหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า เขาหาประเด็นได้ทุกเรื่อง ขนาดจัดงานแซยิดกลางสนามหลวงยังทำได้เลย
ต้องดูว่านายกษิตทำผิดเรื่องอะไร ประชาชนก็คิดได้ เพราะเรื่องที่ผ่านมา เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาก่อนเป็นรัฐมนตรี วันนี้เป็นเพียงการตั้งข้อกล่าวหา ยังไม่ได้ถูกตัดสิน หากจะรอถึงการตัดสินเชื่อว่านายกษิตก็คงไม่หนีไปต่างประเทศ
นายวิทยา กล่าวว่ารัฐบาลมีทั้งจุดอ่อนจุดแข็ง แต่คนที่กล้าทำงานจริงๆ และซื่อสัตย์สุจริตต่อแผ่นดิน ตนก็ถือว่าเป็นจุดแข็ง ส่วนทุกคนไม่เคยไม่มีใครมีรอยด่างในชีวิต เราไม่ได้หาพระมาเป็นรัฐมนตรี เราหาคนทำงานได้มาเป็นรัฐมนตรี

ปชป.เชื่อกษิตจะรอดข้อกล่าวหา
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวงว่า จากการตรวจสอบกระแสสังคมและกระแสสื่อมวลชนทั่วไป รวมถึงความเห็นของนักวิชาการ พบว่าร้อยละ 90 ยังเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป แต่มีนักวิชาการ เพียงคนเดียวที่คัดค้านเรื่องนี้ โดยการสร้างบรรทักฐานการเมืองใหม่ ซึ่งกระแสดังกล่าวเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องรับฟัง อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องทำความเข้าใจว่า ไม่ได้มีสองมาตรฐานในกรณีนี้ และกฎ 9 ข้อของนายกรัฐมนตรีก็ปฏิบัติอยู่คือ รัฐมนตรีไม่มีสิทธิ์เหนือประชาชนในการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งรัฐมนตรี ไม่ต้องรอคดีสิ้นสุด แค่เรื่องเข้าสู่ชั้นศาล มาตรฐานนักการเมืองในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กฌต้องแสดงความรับผิดชอบ 
เรื่องนี้ต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอีกยาว ข้อกล่าวเริ่องการก่อการร้าย มีการวิจารณ์ว่าอาจจะรุนแรงเกินไป เป็นสิ่งที่ตำรวจสามารถตั้งข้อกล่าวหาได้ แต่ต้องไม่ปิดกั้นสิทธิ์ผู้ถูกกล่าวหาในการต่อสู้ด้วย เหมือนครั้งหนี่งที่ตำรวจตั้งจ้อหาพันธมิตรฯว่าเป็นกบฎ และเห็นว่าองค์ประกอบข้อกล่าวหาไม่เข้าข้อหานั้น ก็ได้ยื่น ต่อศาลให้ถอนข้อกล่าวหาจนสำเร็จมาแล้ว เรื่องนี้จะใช้เงื่อนไขตามกฎหมาย ให้ศาลพิจารณาว่าการตั้งข้อหาก่อการร้ายเกินเหตุหรือไม่ ซึ่งตำรวจต้องประมวลข้อเท็จจริง และอาจจะเห็นว่าพยานหลักฐานที่ตรวจสอบแล้วไม่เข้าข่ายจะเปลี่ยนข้อหาก็ได้ วันนี้เชื่อว่าจากพฤติกรรมทั้งหมด นายกษิตน่าจะรอดข้อหานี้ไปได้ จึงอยากแสดงความมั่นใจว่านายกษิตเหมาะสมตำแหน่งรมว.ต่างประเทศต่อไป
ผมมั่นใจว่านายกษิตจะไม่ถูกตัดสินด้วยข้อหาก่อการร้ายเพราะนายกษิต ไม่ได้เป็นแกนนำ เป็นเพียงวิทยากรรับเชิญ รวมถึงองค์ประกอบการก่อการร้าย ต้องมีอาวุธ บังคับขู่เข็ญ คุกคาม แต่นายกษิตมีแต่ไมค์โครโฟนและปากกา เท่านั้น

มาร์คจะแจงเองกรณีกษิต
ส่วนผลโพลที่ส่วนใหญ่อยากให้นายกษิต ลาออกนั้น นายเทพไท กล่าวว่า ก็ต้องรับฟัง แต่คิดว่าฝ่ายรัฐบาลยังไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้เข้าใจอย่างเต็มที่ เชื่อว่า เป็นกระแสธรรมชาติของสังคมอยู่แล้ว หากเป็นนักการเมืองถ้ามีเรื่องลักษณะนี้ ก็เป็นด้านลบอยู่ตลอด อย่างไรก็ตาม เราต้องใช้เวลาทำความเข้าให้ข้อเท็จจริง ปรากฎต่อสังคม และหวังว่าสังคมจะเข้าใจได้
นายเทพไท กล่าวว่า ในพรรคร่วมกรณีของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย นั้น มีข้อกล่าวหาและรัฐบาลก็ได้ให้โอกาส สุดท้ายข้อกล่าวหาถูกยกไป และคิดว่ามาตรฐานนี้หากจะใช้ก็ต้องใช้ทุกคน ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคร่วม และตนเชื่อว่า ในกรณีของนายกษิตนั้นนายอภิสิทธิ์จะชี้แจงด้วยตนเองอีกครั้ง
ส่วนที่การที่พรรคประชาธิปัตย์รับรองตำแหน่งของนายกษิตนั้นจะเป็นการกดดันการทำงานของตำรวจหรือไม่ นายเทพไท กล่าวว่า หากเราจะกดดันเรากดดันตั้งแต่ต้นแล้ว แต่นี่เป็นความเห็นของบุคคลทั่วไปไม่เฉพาะสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการหลายคนบอกว่าเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง แม้กระทั่งคนที่ร่างรัฐธรรมนูญ ก็ยังมองว่านายกษิตไม่เข้าเงื่อนไขผู้ก่อการร้าย หากเราจะกดดันก็ต้องกดดันตั้งแต่วันตั้งข้อกล่าวหาแล้ว วันเราให้อิสระและถูกตำหนิด้วยซ้ำว่า รัฐบาลมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ อย่างไร ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างรัฐบาลก่อนๆ
ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรค กล่าวเสริมว่า เรื่องมาตรฐาน ความรับผิดชอบต้องดูแล้วแต่กรณี หากเป็นเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น พรรคประชาธิปัตย์มีความชัดเจน แต่เนื่องจากคดีของนายกษิตเป็นเรื่องของการเมืองก่อนเข้ารับตำแหน่งถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

สยามสามัคคีระบุตั้งข้อหาเกินจริง
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม แกนนำกลุ่มสยามสามัคคี และอดีตเลขาธิการ คมช.กล่าวว่า ตามหลักกระบวนการของกฎหมายต้องดูพฤติกรรม จุดมุ่งหมาย และวัถตุประสงค์ว่าเป็นขบวนการก่อการร้ายหรือไม่ ซึ่งผู้ก่อการร้ายต้องเป็นการกระทำที่มุ่งทำร้ายชาติทำลายประเทศอย่างยิ่งใหญ่ แต่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอาจจะเลยเถิดบ้าง แต่ต้องดูว่าเขามีวัถตุประสงค์มีพฤติกรรม ที่จ้องทำร้ายชาติบ้านเมืองหรือไม่ ซึ่งการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรไม่มีวัตถุประสงค์ทำร้ายประเทศชาติ ซึ่งแตกต่างจากการชุมนุมของอีกฝ่ายที่มีวัตถุประสงค์ทำร้ายบ้านเมืองชัดเจน

ซัดตำรวจควรตั้งช้อหาตามข้อเท็จจริง
นายสมัคร เชาวภานันท์ ส.ว.สรรหา ประธานคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและการตำรวจ วุฒิสภา กล่าวว่า กระบวนการดำเนินการตามวิธีพิจารณาความอาญา จะดูที่เจตนาเป็นหลักว่าการเข้าไปชุมนุมในสนามบินมีเจตนาจะก่อการร้าย ก่อความไม่สงบ หรือไปกดดันรัฐบาล การที่ตำรวจจะตั้งข้อหาอย่างไร รุนแรงเกินไปหรือไม่ ก็เป็นหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหาจะแก้ข้อกล่าวหานั้น หากตั้งข้อกล่าวหาแรงแล้วมีการพิสูจน์ได้ภายหลังว่าไม่มีเจตนาจะให้รุนแรงขนาดนั้น ศาลก็อาจพิจารณายกฟ้องได้ ซึ่งผู้ต้องหาก็ไม่ต้องไปตกใจเพราะหากตั้งข้อหาไม่สมเหตุสมผลก็ไปต่อสู้ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าในสภาวะเช่นนี้ไม่ว่าตำรวจจะดำเนินการอย่างไรก็ต้องถูกม็อบทั้ง 2 ฝ่ายโจมตี นายสมัครกล่าวว่า ก็เห็นใจและเข้าใจตำรวจ แต่ตำรวจก็ต้องดำเนินการ ทุกอย่างตามกฎหมาย อย่าไปกลั่นแกล้งในลักษณะบีบบังคับ ควรตั้งข้อหา ตามข้อเท็จจริง ส่วนตัวเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่ตำรวจจะตั้งข้อหารุนแรงเกินไป เพราะหากไปละเมิดสิทธิผู้อื่นก็โดน
ส่วนกรณีนายกษิต เขาก็เข้ารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ขั้นต่อไปตำรวจ ต้องพิจารณาว่าจะส่งฟ้องต่ออัยการหรือไม่ หากส่งฟ้องอัยการก็ต้องพิจารณาว่าจะส่งฟ้องศาลหรือไม่ หากส่งฟ้องก็อยู่ที่ศาลจะตัดสิน แต่หากอัยการสั่งไม่ฟ้อง ก็ต้องส่งเรื่องกลับไปให้ผบ.ตร.พิจารณาหากยังยืนยันสั่งฟ้อง ก็ต้องให้อธิบดีอัยการพิจารณา ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ยังอีกไกล
ส่วนที่ทีมทนายระบุว่าอาจฟ้องกลับตำรวจ นายสมัครกล่าวว่า เรื่องของทนาย ตนไม่ทราบลายละเอียด จึงไม่สามารถวิจารณ์ได้ แต่หากเขาเห็นว่าโดนกลั่นแกล้ง โดยไม่เป็นธรรม ก็เป็นสิทธิที่จะฟ้องร้องตำรวจได้ แต่กลับกันหากพิสูจน์ความจริง ได้ว่าเป็นไปตามข้อกล่าวหา ทางทนายก็อาจถูกตำรวจฟ้องร้องกลับได้อีกเช่นกัน  

พท.ยื่นหนังสือนายกฯปลดกษิต
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้รับทราบผลการสำรวจ ความคิดเห็นประชาชนของเอแบคโพลล์ที่มีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 60.6 เห็นว่า นายกษิต ภิรมย์ ควรลาออกจากตำแหน่งจากกรณีเจ้าพนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว แต่ส่วนตัวไม่อยากเรียกร้อง นายกษิตอีกแล้ว เพราะนายกษิต ไม่ได้รักศักดิ์ศรีของตนเอง
นายพร้อมพงษ์ ระบุว่านายกษิต เคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 23 ก.พ.2552 พร้อมนำคลิปวีดีโอสั้นๆ เกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของนายกษิต ที่ระบุว่า ผมเคารพขบวนการยุติธรรมหากมีหมายเรียกมาก็พร้อมที่จะไปสู้คดีที่ศาล และลาออกจากตำแหน่งเพราะไม่ยึดติดกับเก้าอี้
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า เมื่อนายกษิต พูดเช่นนี้เท่ากับไม่ได้สนใจว่า การปิดสนามบินทำให้เกิดความเสียหายหลายพันล้านบาท จึงอยากให้นายกษิต รับผิดชอบต่อคำกล่าวของตนเอง และขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีและประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ให้พิจารณาเรื่องนี้ โดยขอทวงถามจริยธรรมของหัวหน้าพรรค , ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทุกคนที่สนับสนุนให้นายกษิต อยู่ในตำแหน่งต่อไป
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า จะไปเรียกร้องความยุติธรรม โดยนำวีซีดีคลิปวิดีโอ และหนังสือเรียกร้องความรับผิดชอบไปมอบให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในวันนี้ (8 ก.ค.) เวลา 09.30 น. จากนั้นเวลา 10.30 น.จะไปมอบต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โดยจะเรียกร้องให้ ดำเนินการปลดนายกษิต เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองให้กับพรรคและการมืองไทย รวมถึงแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชนด้วย

เกียรติกรบอกถ้าถูกขับจะร้องศาลรธน.
นายเกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังคงเดินหน้าเรียกร้องให้นายกษิต ลาออกจากตำแหน่ง หลังถูกออกหมายเรียก ในคดีบุกยึดสนามบิน เนื่องจากเห็นว่าพนักงานสอบสวนมีหลักฐานชัดเจน จึงออกหมายเรียกไม่เชื่อว่าพนักงานสอบสวนจะได้ใบสั่งจากใคร นายกษิต ควรพิจารณาตัวเองและเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีควรทบทวนว่า การกระทำของนายกษิตสมควรที่จะปลดออกจากตำแหน่งหรือไม่
ส่วนที่ นายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมเสนอที่ประชุมพรรคขอมติขับนายเกียรติกร ออกจากพรรคนั้น นายเกียรติกร กล่าวว่า ถ้าพรรค มีมติขับออกจริง ตนจะขอยื่นอุทธรณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน ตามมาตรา 65 วรรค 3 หากศาลวินิจฉัยแล้วว่า ตนมีความผิดตามมติพรรคจริง คงต้องพ้น สมาชิกภาพการเป็น ส.ส. แต่หากเห็นว่าไม่ผิด สามารถหาพรรคใหม่สังกัดได้ ยังไม่ได้คิดว่าจะไปสังกัดพรรคใด เพราะพรรคที่ตนจะไปสังกัดต้องยอมรับเงื่อนไข การทำงานของตนได้ว่า หากอะไรไม่ถูกต้อง ตนจะขอค้าน แม้จะมีมติพรรคออกมาแล้วก็ตาม
จะไม่ลอออกจากพรรคประชาธิปัตย์เองอย่างแน่นอน  ไม่มีผู้บริหารพรรค คนใดมาขอให้ผมยุติการเรียกร้องให้นายกษิตลาออกหรือ บังคับให้ผมออกจากพรรคได้
กำลังโหลดความคิดเห็น