กกต.ยังไม่ชัวร์ถกฟัน ส.ส.พิษหุ้น อ้างติดปัญหาบริษัทสื่อ

“ประพันธ์” เผย 14 ก.ค.นี้ต้องหารือกับ กกต.อีกครั้งว่าลงมติ 28 ส.ส.ปชป.ได้เลยหรือไม่ ยังมีปัญหาบริษัทที่ กกต.ยังไม่ได้พิจารณาเข้ามาเพิ่มเติม โดยเฉพาะบริษัทสื่อ ยันไม่ได้ยื้อ แต่ต้องการให้ได้ข้อเท็จจริงและความเป็นธรรมต่อผู้ถูกร้องให้มากที่สุด

วันนี้ (13 ก.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงการพิจารณาคุณสมบัติ 28 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ถือหุ้นสัมปทานรัฐในวันอังคารที่ 14 ก.ค.นี้ว่า ประธาน กกต.ได้บรรจุเรื่องไว้ในวาระการประชุมในวันพรุ่งนี้แล้ว ซึ่งเท่าที่ดูสำนวนก็ทำมาได้ครบถ้วนพอสมควรและคนที่ไม่ได้เข้ามาชี้แจง กกต.ก็ต้องถือว่าไม่ติดใจและตามกฎหมายให้ถือว่าสละสิทธิ์ เพราะคณะอนุกรรมการฯ ได้ให้โอกาสมาชี้แจงแล้วแต่ไม่มาเอง ส่วนจะลงมติได้เลยหรือไม่ ต้องหารือกันอีกครั้ง เนื่องจากมีบางบริษัท ซึ่ง กกต.ยังไม่เคยพิจารณาว่ามีลักษณะเข้าข่ายต้องห้ามหรือไม่ แต่ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องส่งให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้เราได้ส่งสำนวนกรณีของ ส.ว.ให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาแล้ว ซึ่งกรณีนี้จะใช้บรรทัดฐานเดียวกับ ส.ว. ส่วนเรื่องบริษัทนั้น กกต.ก็เพียงลงมติว่าเข้าข่ายหรือไม่เท่านั้น และไม่จำเป็นต้องเห็นเหมือนกับอนุกรรมการฯเสนอมาก็ได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอีกว่าบางบริษัทเข้าข่ายกิจการของสื่อหรือไม่เพราะ หรือจะเป็นเพียงบริษัทที่เช่าเวลาทำรายการโทรทัศน์เท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของสื่อจึงเป็นเรื่องที่ กกต.ต้องมาดูข้อเท็จจริง

เมื่อถามถึงกรณีหากมี ส.ส.ถือหุ้นกู้ ที่จะเข้าข่ายขาดคุณสมบัติ เพราะเป็นการถือในบริษัทสัมปทานรัฐ นายประพันธ์กล่าวว่า กกต.เคยพิจารณาไปเมื่อครั้งการพิจารณาคุณสมบัติ ส.ว.แล้ว โดยมีความเห็นว่าหุ้นกู้ไม่เข้าข่ายหุ้นต้องห้าม เพราะหุ้นกู้มีลักษณะเป็นการกู้ยืม ได้ประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบี้ยและคนถือหุ้นก็ไม่มีอำนาจบริหารในบริษัท

ทั้งนี้ นายประพันธ์ยังได้ปฏิเสธว่า กกต.ไม่ได้ยื้อเวลา แต่ทุกอย่างอยู่ที่ข้อเท็จจริงว่าสำนวนมีความสมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งหากไม่สมบูรณ์แล้ว กกต.พิจารณาไปอาจจะไม่เป็นธรรม อีกทั้งหากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติม และ กกต.ตัดสิทธิการพิจารณาไปก็ถือว่าไม่ถูกต้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่ กกต. ได้นัดพิจารณาคุณสมบัติ 28 ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กรณีถือหุ้นสัมปทานรัฐ และหุ้นในกิจการสื่อสารมวลในวันที่ 14 ก.ค. ที่จะถึงนี้นั้น จนถึงขณะนี้มีความเป็นไปได้ว่า กกต. อาจจะขอขยายระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนออกไป เนื่องจาก ในขณะนี้ยังติดปัญหาข้อกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีบางบริษัทที่อาจจะเข้าข่าย ถือหุ้นสัมปทานรัฐ เพราะเป็นบริษัทอื่นที่อยู่นอกเหนือจากที่ กกต. เคยมีความเห็นไปแล้วเมื่อครั้งพิจารณาคุณสมบัติ ส.ว. ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า กกต. อาจจะต้องการให้ไปดูให้รอบคอบ ว่า ลักษณะการทำธุรกิจของบริษัทนั้น ๆ เข้าข่ายเป็นคู่สัญญากับรัฐหรือไม่ อีกทั้งยังมีข้อสงสัยว่า หากเป็นกรณีบริษัทนั้นเป็นคู่สัญญากับรัฐจริง ความเป็นคู่สัญญานั้นได้กระทำในธุรกิจที่มีลักษณะกิจการที่ผูกขาดตัดตอนหรือไม่ รายงานข่าวยังแจ้งด้วยว่า กกต. อาจจะตัดสินกรณีของ 28 ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมๆกับ กรณี 44 ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อป้องกันความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง