นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงการพิจารณาคุณสมบัติ 28 ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถือหุ้นสัมปทานรัฐ ในวันนี้(14 ก.ค.)ว่า ประธาน กกต.ได้บรรจุเรื่องไว้ในวาระการประชุมแล้ว ซึ่งเท่าที่ดูสำนวนก็ทำมาได้ครบถ้วนพอสมควร และคนที่ไม่ได้เข้ามาชี้แจงกกต.ก็ต้องถือว่าไม่ติดใจ และตามกฎหมายให้ถือว่าสละสิทธิ เพราะคณะอนุกรรมการฯได้ให้โอกาสมาชี้แจงแล้วแต่ไม่มาเอง
ส่วนจะลงมติได้เลยหรือไม่ ต้องหารือกันอีกครั้ง เนื่องจากมีบางบริษัทซึ่งกกต.ยังไม่เคยพิจารณาว่ามีลักษณะเข้าข่ายต้องห้ามหรือไม่ แต่ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องส่งให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้เราได้ส่งสำนวน กรณีของส.ว.ให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาแล้ว ซึ่งกรณีนี้จะใช้บรรทัดฐานเดียวกับส.ว. ส่วนเรื่องบริษัทนั้น กกต.ก็เพียงลงมติว่า เข้าข่ายหรือไม่เท่านั้น และไม่จำเป็นต้องเห็นเหมือนกับอนุกรรมการฯเสนอมาก็ได้
นอกจากนี้ยังมี ปัญหาอีกว่าบางบริษัทเข้าข่ายกิจการของสื่อหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงบริษัทที่เช่าเวลาทำรายการโทรทัศน์เท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของสื่อ จึงเป็นเรื่องที่กกต. ต้องมาดูข้อเท็จจริง
เมื่อถามถึงกรณีหากมีส.ส.ถือหุ้นกู้ ที่จะเข้าข่ายขาดคุณสมบัติหรือไม่ เพราะเป็นการถือในบริษัทสัมปทานรัฐ นายประพันธ์กล่าวว่า กกต. เคยพิจารณาไปเมื่อครั้งการพิจารณาคุณสมบัติ ส.ว. แล้ว โดยมีความเห็นว่าหุ้นกู้ ไม่เข้าข่ายหุ้นต้องห้าม เพราะหุ้นกู้มีลักษณะเป็นการกู้ยืม ได้ประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบี้ย และคนถือหุ้นก็ไม่มีอำนาจบริหารในบริษัท
ทั้งนี้นายประพันธ์ ปฏิเสธว่า กกต.ไม่ได้ยื้อเวลา แต่ทุกอย่างอยู่ที่ข้อเท็จจริงว่าสำนวนมีความสมบูรณ์หรือไม่ หากไม่สมบูรณ์แล้วกกต. พิจารณาไปอาจจะไม่เป็นธรรม อีกทั้งหากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติม และกกต. ตัดสิทธิการพิจารณาไป ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง
รายงานข่าวยังแจ้งว่า กกต. อาจจะตัดสินกรณีของ 28 ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมๆ กับกรณี 44 ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อป้องกันความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง
ส่วนจะลงมติได้เลยหรือไม่ ต้องหารือกันอีกครั้ง เนื่องจากมีบางบริษัทซึ่งกกต.ยังไม่เคยพิจารณาว่ามีลักษณะเข้าข่ายต้องห้ามหรือไม่ แต่ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องส่งให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้เราได้ส่งสำนวน กรณีของส.ว.ให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาแล้ว ซึ่งกรณีนี้จะใช้บรรทัดฐานเดียวกับส.ว. ส่วนเรื่องบริษัทนั้น กกต.ก็เพียงลงมติว่า เข้าข่ายหรือไม่เท่านั้น และไม่จำเป็นต้องเห็นเหมือนกับอนุกรรมการฯเสนอมาก็ได้
นอกจากนี้ยังมี ปัญหาอีกว่าบางบริษัทเข้าข่ายกิจการของสื่อหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงบริษัทที่เช่าเวลาทำรายการโทรทัศน์เท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของสื่อ จึงเป็นเรื่องที่กกต. ต้องมาดูข้อเท็จจริง
เมื่อถามถึงกรณีหากมีส.ส.ถือหุ้นกู้ ที่จะเข้าข่ายขาดคุณสมบัติหรือไม่ เพราะเป็นการถือในบริษัทสัมปทานรัฐ นายประพันธ์กล่าวว่า กกต. เคยพิจารณาไปเมื่อครั้งการพิจารณาคุณสมบัติ ส.ว. แล้ว โดยมีความเห็นว่าหุ้นกู้ ไม่เข้าข่ายหุ้นต้องห้าม เพราะหุ้นกู้มีลักษณะเป็นการกู้ยืม ได้ประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบี้ย และคนถือหุ้นก็ไม่มีอำนาจบริหารในบริษัท
ทั้งนี้นายประพันธ์ ปฏิเสธว่า กกต.ไม่ได้ยื้อเวลา แต่ทุกอย่างอยู่ที่ข้อเท็จจริงว่าสำนวนมีความสมบูรณ์หรือไม่ หากไม่สมบูรณ์แล้วกกต. พิจารณาไปอาจจะไม่เป็นธรรม อีกทั้งหากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติม และกกต. ตัดสิทธิการพิจารณาไป ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง
รายงานข่าวยังแจ้งว่า กกต. อาจจะตัดสินกรณีของ 28 ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมๆ กับกรณี 44 ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อป้องกันความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง
