“กษิต” ท้ารบทหารกดดันพ้นเก้าอี้ จวกเป็นลูกผู้ชายต้องเปิดเผยตัว อย่าหลบๆ ซ่อนๆ แล้วบีบนายกฯ ให้ปลด จี้ “สุเทพ” ตอบคำถามใครปองร้าย “สนธิ-อภิสิทธิ์” ตอนบ้านเมืองถูกระบอบทักษิณปู้ยี่ปู้ยำไปมุดหัวอยู่ไหน ระบุถูกรุมกินโต๊ะคนเดียว ขณะที่นักการเมืองเลวยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสภาไม่ไปขับไล่บ้าง จวกสื่อบางคนที่ด่า ทำไมไม่ขุดคุ้ยความระยำคนอื่นบ้าง
วานนี้ (11 ก.ค.) ที่เมืองโอคแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีทหารขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปลดตัวเขาออกจากตำแหน่งว่า ไม่ทราบว่านายทหารเหล่านั้นเป็นใคร และหนังสือพิมพ์ไปเอาข้อมูลมาจากไหน ตนไม่มีอำนาจอะไรไปกลั่นแกล้งหรือโยกย้ายทหาร ดังนั้น เขาไม่ต้องกลัวการเปิดเผยตัว เพราะถ้ากล้าพูดแล้วก็ต้องกล้าแสดงตัวด้วย เป็นลูกผู้ชายก็ต้องออกมาแสดงตัวจะกลัวอะไร และบอกด้วยว่าเนื้อหาแท้ๆ มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับตน
“ทำไมมาเก่งกับผม เพราะผมไม่มีอำนาจเงินใช่ไหม ถ้าจะเปิดศึกรบก็ต้องรบกันรอบด้าน ผมถามกลับว่า ตอนที่คุณทักษิณปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมือง คนพวกนี้หายไปไหน ต้องเอาความจริงมาพูดกัน นายทหารเหล่านั้นหายไปไหน ทำไมไม่ออกมาป้องกันประเทศชาติ และถ้าหากผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทหารเหล่านั้นก็วิพากษ์วิจารณ์ผมได้ ผมรับฟังเพราะผมไม่ใช้อำนาจเถื่อน ถ้ารักชาติก็ต้องรักตลอดเวลา และช่วยถามทีว่า ใครปองร้ายคุณสนธิ (ลิ้มทองกุล) ใครปองร้ายท่านอภิสิทธิ์ ซึ่งท่านสุเทพคงต้องตอบ” นายกษิตกล่าว
นายกษิตกล่าวต่อว่า ให้ทหารที่พูดแบบนั้นออกมาแสดงตัวและพูดกันอย่างเปิดเผย จะดีเบตผ่านโทรทัศน์ก็ได้ ทำไมเพิ่งมารักบ้านเมืองตอนนี้ แล้วตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองหายไปไหน ทำไมไม่ออกมาปกป้องสถาบัน ไม่ใช่ว่าตนเป็นพลเรือนและไม่มีอำนาจ พอมีกระแสทีหนึ่งก็ลุกขึ้นมาผสมโรงด้วย แล้วตอนที่บ้านเมืองคับขันพวกนี้หายไปไหน หรือว่าเกรงกลัวพวกรุ่น 10 แล้วตอนที่บ้านเมืองถูกโกงกิน พวกนี้หายไปไหน
“อย่ามาหลบๆ ซ่อนๆ และข่าวที่บอกว่ากลุ่มนายทหาร ผมก็อยากจะรู้ว่ากลุ่มไหนมาขึ้นเวทีออกโทรทัศน์ด้วยกันไหม แล้วบอกว่ากระแสกดดันให้ลาออกนี่ กระแสทั้งหมดมีกี่ร้อยคนกัน ผมเอาออกมาเป็นแสนนะ ถ้าผมจะเรียกร้องให้คนออกมาสนับสนุนผมก็ทำได้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลมีท่าทีที่จะให้ลาออกจากตำแหน่งหรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า ไม่มี ใครอยากผลักดันก็ผลักดันมา แต่ต้องมีเนื้อหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่พูดกันลอยๆ แล้วทำไมไม่ตั้งคำถามว่าการตั้งข้อหาก่อการร้ายเกิดขึ้นได้อย่างไร ตอนนี้เหมือนเอาหลายๆ เรื่องมารวมกันเหมารุมกินโต๊ะ แล้วทำไมนักการเมืองเลวๆ ตั้งเยอะตั้งแยะเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในสภาและนอกสภา ทำไมไม่ออกไปวิพากษ์วิจารณ์และขับไล่คนพวกนั้น และทำไมกราบไหว้คนเลวๆ ตั้งเยอะตั้งแยะ และหนังสือพิมพ์บางท่านที่ด่าตนอยู่ ทำไมไม่ไปขุดคุ้ยความเลวระยำของคนอื่นอีกเยอะแยะที่มีอำนาจ กลัวเขาหรือ หรือว่ารับเงินเขา และที่สำคัญต้องถามว่ารัฐบาลนี้ทำอะไรผิด นายอภิสิทธิ์และตนทำอะไรผิด
“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจใครอีกแล้ว ผมสงบเสงี่ยมมานานเพราะว่าเห็นอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในรัฐบาล ผมไม่อยากจะไปพูดอะไรให้เกินหน้าเกินตา แต่ถ้าจะรุมกินโต๊ะผมคนเดียว ผมก็จำเป็นต้องลุกขึ้นสู้ ผมไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้ว”
เมื่อถามถึงการประสานงานกับทหารในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายกษิตตอบว่า ก็เจอกันตลอดเวลา มีอะไรก็โทรศัพท์คุยกับรัฐมนตรีกลาโหม พบปะคุยกันเจอกันที่ ครม. ท่านมีข้อห่วงกังวลอะไรมาตนก็ตอบ ตนห่วงกังวลอะไรก็ถามเท่าที่เวลาจะอำนวย เราก็ต่างคนต่างงานยุ่ง แต่เราจะไม่มีการทำอะไรที่ต่างคนต่างทำและข้ามหน้าข้ามตากัน เพราะอยู่ในรัฐบาลเดียวกัน มีธงเดียวกันคือผลประโยชน์ประเทศชาติ
เมื่อถามถึงผลสำรวจความคิดเห็นจากโพลที่ระบุให้ลาออก นายกษิตตอบว่า มันอยู่ที่ว่าการทำโพลตั้งคำถามว่าอะไร อย่างที่เอแบคไปถามว่าควรจะออกจากตำแหน่งไหม มันง่าย แต่ทำไมไม่ถามเสียก่อนว่ามาตั้งข้อหาตนมันถูกต้องหรือเปล่า คนทำโพลตั้งคำถามว่าอย่างไร และคนรู้ตื้นลึกหนาบางหรือเปล่าเกี่ยวกับความเป็นมาการตั้งข้อหา ทำไมตนจึงถูกตั้งข้อหาคนเดียว และการไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ นี่เป็นบาปหรืออย่างไร เทียบกับคนที่หลบๆ ซ่อนๆ รับผลประโยชน์จากระบอบทักษิณ โอนอ่อนหรือไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่ก็ไม่กล้าขึ้นมายืนยัน ปล่อยให้ระบอบการเมืองเราถูกปู้ยี่ปู้ยำ
“หรือทุกวงการที่บอกว่าตัวเองถวายสัตย์ปฏิญาณ บอกว่าตัวเองต้องมีจรรยาบรรณของอาชีพ ต้องถามคนแต่ละคนว่าได้ทำในสิ่งที่ควรทำหรือเปล่า คนเลวๆ ตั้งเยอะอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ทำไมไม่ออกมาประณามกันล่ะครับ และปล่อยให้คนเลวๆ อยู่ในสังคมเป็นข่าวอยู่ได้ยังไงทุกวัน ลงข่าวเกี่ยวกับคนเลวๆ ที่พูดโกหกพกลมประชาชนอยู่ได้ยังไงทุกวัน เรื่องโกหกก็มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ บิดเบือนข้อเท็จจริง บ่อนทำลายรัฐบาล และคนที่โจมตีผมแล้วบอกว่าพูดเรื่องหลักการ ทำไมยังบินไปกราบไปไหว้คุณทักษิณซึ่งทำผิด ทำไมไม่พิจารณาตัวเอง ทำไมมี 2 มาตรฐาน ไปกราบไปไหว้ ทำตัวเป็นทาสคนที่ผิดอย่างคุณทักษิณ ทีกับผมกลับพยายามจะมาเล่นงานในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด”
นายกษิตกล่าวต่อว่า ไม่แคร์แรงกดดันที่ลอยๆ มาในอากาศ มาจากไม่กี่กลุ่มมาผสมโรง ถ้าไม่มาจากระบอบทักษิณแล้วจะมาจากใคร แค้นนี้ต้องชำระก็มีแค่นั้นเอง ตนไม่แคร์พวกนั้น แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่ควรจะพูดอะไรในสิ่งที่ถูกต้อง ทำไมไม่ออกมา ซึ่งก็มีมาบ้างแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมก็ออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยเหตุด้วยผล ตั้งข้อหาได้ยังไง ตนไม่ทราบตื้นลึกหนาบางภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือใครก็ตามที่สั่ง อันนี้ไม่ทราบ
“ผมจะไปสะทกสะท้านกับความไม่ชอบมาพากลทำไม เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เต็มไปด้วยอคติ ไม่ได้พูดจากจิตใจ มือปืนรับจ้างทั้งนั้น เป็นทาสเงินทาสอำนาจ คนที่วิพากษ์วิจารณ์หาความน่าเชื่อถือได้ที่ไหน คนที่อกมาด่าพ่อล่อแม่ผมทุกวัน มีใครเป็นที่เคารพนับถือในสังคมไทยไหม แล้วทำไมสังคมไทยไม่ไปประณามพวกนั้น กลับมาคอยถามผมว่าจะออกหรือไม่ออก ต้องถามว่า คนที่มาให้ผมออกนั้นอยู่ในคนประเภทใดของสังคม บัวในระดับน้ำขั้นไหน หรือต่ำกว่าน้ำ ยังอยู่ในโคลนในดิน โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำสิครับ ผมอยู่บนน้ำตลอด แล้วอย่ามาเก่งตอนนี้ เรื่องปราสาทพระวิหารที่จะตกอยู่ในความเลวร้ายของตัวเองในอดีต แล้วทำไมมารุมสกรัมผม มีใครเป็นลูกผู้ชายบ้าง มีใครมีใจเป็นนักเลงบ้าง ไม่มี”
ผู้สื่อข่าวถามถึงผลประโยชน์ทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา นายกษิตกล่าวว่า อะไรที่ตกลงกันเราก็ต้องได้ เขาก็ต้องได้ เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องไปเพื่อความเจริญของทั้งชาวกัมพูชาและของชาวไทยทุกคน จะไม่ลงไปที่กลุ่มใครหรือบุคคลใดเป็นอันขาด และนี่เป็นสิ่งที่เราได้ป้องกันมาในเวทีพันธมิตรฯ จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาดตราบใดที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
ต่อข้อถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะก่อความวุ่นวายจึงต้องมาหาเหตุตั้งคดีกับคนเสื้อเหลืองนั้น นายกษิตตอบว่า ไม่เห็นด้วยกับตรรกะแบบนี้ เพราะพฤติกรรมและเป้าหมายดำเนินการทางการเมืองมันต่างกัน วิธีการก็ต่างกัน และการประท้วงของเสื้อแดงก็ไม่ควรเป็นเหตุให้ตนต้องลาออก เพราะไม่ได้ไปเผาเมือง ไม่ได้ไปขัดขวางการประชุมระดับโลก ไม่ได้ไปข่มขู่ทำร้ายนายกรัฐมนตรีที่กระทรวงมหาดไทย
“ส่วนข่าวที่บอกว่ามีกลุ่มทหารไม่ชอบผมนั้น ช่วยบอกด้วยว่านายทหารนั้นเป็นใคร ผมจะไปจับเข่าคุยด้วย ผมท้าสู้ทุกเวทีในทางเปิด ในทุกเรื่องที่ผมรับผิดชอบ ในทุกเรื่องที่ผมพูดบนเวทีพันธมิตรฯ และตอนที่ผมอยู่บนเวทีพันธมิตรฯ ผมไม่มีอะไร รถถังก็ไม่มี เงินก็ไม่มี พรรคก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลย” นายกษิตกล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เดินทางไปกัมพูชา ถือเป็นการก้าวก่ายงานของกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่ นายกษิตตอบว่า การดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตมีหลายประเภท เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคล วัฒนธรรม การแพทย์ การให้ความร่วมมือช่วยเหลือ การทูตด้านความมั่นคง และเรื่องทั่วๆ ไป ส่วนการที่นายสุเทพเดินทางไปกัมพูชานั้นเป็นเรื่องเหมาะสม เพราะนายสุเทพมีความสนิทชิดเชื้อกับสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาก่อนที่เราจะมาเป็นรัฐบาล และเราก็สามารถที่จะรักษาความสนิทชิดเชื้อนั้นเอาไว้ได้
นายกษิตกล่าวต่อว่า เมื่อมีอะไรบางสิ่งบางอย่างไม่สามารถพูดกันในห้องประชุมอย่างเป็นทางการได้ นายกฯ ก็คิดว่านายสุเทพก็เหมาะ นอกจากนั้น นายสุเทพยังเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ซึ่งปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ก็มีส่วนความมั่นคงเป็นสำคัญ ต้องเสริมกับสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศเจรจาทางการเมืองเรื่องการปักปันเขตแดน ช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ ตนไม่ได้เห็นรู้สึกอันใด ก็มีความยินดี
ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ก็ดูแลเรื่องความมั่นคง แต่ละคนก็ทำงาน เพราะเรื่องกัมพูชาก็เกินกำลังของตน เรื่องการสู้รบ การวางกองกำลังเป็นเรื่องของทหาร ไม่ใช่เรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ แต่การป้องกันและระงับการสู้รบเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้น คนที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าตนต้องทำทุกอย่าง ตนก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทกับสมเด็จฯ ฮุนเซน และตนก็มิบังอาจจะทำตัวเป็นเพื่อนกับสมเด็จฯ ฮุนเซน
ผู้สื่อข่าวถามว่า รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงสนิทกับสมเด็จฯ ฮุนเซน ด้วยเรื่องอะไร นายกษิตกล่าวว่า ไม่ทราบว่าสนิทเรื่องอะไร เพราะรู้เพียงว่าสนิทส่วนตัวก็คือสนิทส่วนตัว ส่วนจะสนิทมากน้อยแค่ไหนนั้น ตนไม่ทราบ และทำไมตนต้องไปรู้ว่าเขาสนิทอะไรกันยังไง
เมื่อถามว่าสนิทกันเรื่องธุรกิจหรือไม่ นายกษิตบอกว่าไปคิดอย่างงั้นไม่ได้ ถ้าไปคิดอย่างนั้นเท่ากับไปว่าผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องกล่าวหา จะเป็นการตีตราบาปเขาตั้งแต่ต้น ทำไมต้องเอาบรรทัดฐานขั้นต่ำของรัฐบาลในอดีตมาเป็นบรรทัดฐาน ทำไมถึงคิดว่านายสุเทพจะลดตัวไปทำเหมือนอย่างคนในรัฐบาลที่แล้วมา แล้วทำไมเราต้องไปคิดว่าผู้นำประเทศอื่นเขาไม่ดี ทำไมเราต้องมีอคติอยู่ตลอดเวลา
สำหรับกระแสข่าวที่นางฮิลลารี คลินตัน รมว.การต่างประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถต่อสายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยได้โดยตรงอาจสร้างความระแวงให้ประเทศเพื่อนบ้านที่ปฏิเสธสหรัฐอเมริกาหรือไม่นั้น นายกษิตกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นนางฮิลลารี คลินตัน หรือรัฐมนตรีการต่างประเทศอินโดนีเซีย, มาเลเซีย หรือประเทศใดก็ตาม ประเด็นอยู่ที่เราทำอะไรด้วยกัน เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ ความมั่นคงของภูมิภาคจะมีไม่ได้ตราบใดที่มีการกดขี่ในการบริหารปกครองแต่ละประเทศ นอกจากนั้น เรามีความรู้สึกเป็นเพื่อนมนุษย์กับชาวพม่า เหมือนรู้สึกกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ