อนุฯสอบ กกต.เสนอยกคำร้องเมีย “กษิต” ซุกหุ้น ชี้ไม่ขัดมาตรา 265 ใน รธน.แต่ต้องรอลุ้นผล กกต.เห็นตามหรือไม่ ด้าน “เจ้สด” แจงเหตุยืด 15 วัน สอบ 44 ส.ส.ไข้พิษหุ้น เผย ได้ข้อมูลไม่ครบ ยันไม่ได้เตะถ่วง นัด 14 ก.ค.นี้ ลงมติเชือด 28 ส.ส.ปชป.
วันนี้ (10 ก.ค.) จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดลงมติคำร้องที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ขอให้มีการตรวจสอบความเป็นรัฐมนตรีของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สิ้นสุดลง เนื่องจากภรรยาถือครองหุ้นในบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ ผลปรากฏว่า มีประชาชนโทรศัพท์เข้ามาตำหนิ กกต.ว่า ทำไมถึงได้นำเรื่องของ นายกษิต มาพิจารณาตอนนี้ เพราะกำลังจะมีการจัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 17-23 ก.ค.ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ทาง กกต.จึงคงเห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมืองบ้าง
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผลการสอบสวนของคณะกรรมการไต่สวนที่มีต่อเรื่องดังกล่าว มีมติเสนอให้ยกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่า แม้บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จะเข้าข่ายเป็นบริษัทคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐตามนัยยะมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ แต่เพราะการถือครองหุ้นจำนวน 100,000 บาท ของภรรยานายกษิตนั้น เป็นการถือครองหุ้นในลักษณะหุ้นกู้ ที่เป็นเจ้าหนี้ของบริษัท ซึ่งมีเกณฑ์ในเรื่องการรับประโยชน์ ว่า จะได้เป็นเพียงเงินปันผลตามที่กำหนดเท่านั้น นอกจากนี้ ก็ไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการ แทรกแซง หรือชี้นำอะไรในบริษัทดังกล่าวได้ โดยหุ้นกู้ที่ถืออยู่เปรียบเสมือนกับการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ที่มีกำหนดระยะเวลาและดอกเบี้ยที่จะได้รับ ดังนั้น ทางคณะกรรมการไต่สวน จึงเห็นว่า การถือครองหุ้นดังกล่าวไม่เข้าข่ายการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ที่เป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 265
นอกจากนี้ จากความเห็นของคณะกรรมการไต่สวนกรณีหุ้นกู้ ต้องจับตาดูว่าทาง กกต.จะมีมติเลยหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง เคยระบุว่า รายงานผลสอบของอนุกรรมการสอบสวนกรณี 28 ส.ส.ปชป.ถือหุ้นนั้น มีประเด็นเรื่องการถือหุ้นกู้ของ ส.ส.รายหนึ่ง ที่ กกต.ต้องพิจารณาว่าจะวินิจฉัยเองหรือส่งให้คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาก่อน แต่ส่วนตัวนั้นมองว่า ไม่ว่าจะถือหุ้นใดไม่สำคัญ เพราะกฎหมายไม่ได้แยกแยะ แค่ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานกับรัฐก็น่าจะถือว่าผิด
ด้าน นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวกรณี กกต.มีมติขยายเวลาอีก 15 วัน ในการไต่สวน 44 ส.ส.ถือครองหุ้นในกิจการสื่อและบริษัทที่รับสัมปทานจากภาครัฐ ซึ่งเป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 48 และ 265 ของรัฐธรรมนูญ ว่า เหตุที่ต้องขยายเวลาออกไป เพราะอนุกรรมการไต่สวนยังได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ซึ่งยังขาดในส่วน ส.ส.ที่ยังไม่มาให้ถ้อยคำ แต่ก็ได้รับการติดต่อว่าจะมาให้ถ้อยคำภายใน 7 วัน และยังติดขัดเรื่องเอกสารที่ยังไม่ครบถ้วน ขอยืนยันว่ากรณีดังกล่าว กกต.ไม่ได้ต้องการดึงเรื่องแต่อย่างใด
สำหรับกรณีการถือหุ้นของ 28 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ กกต.นัดลงมติในวันที่ 14 ก.ค.นี้ นางสดศรี กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับที่ประชุมจะมองว่าประเด็นข้อกฎหมายเรื่องหุ้นกู้ หรือหุ้นสามัญต้องมีการตีความอีกหรือไม่ หากได้หลักฐานที่ชัดเจนก็คงสามารถวินิจฉัยได้ในวันดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนคำวินิจฉัยของ กกต.ที่ให้ 16 ส.ว.พ้นจากความเป็นสมาชิกภาพ คาดว่า จะสามารถส่งให้ประธานวุฒิสภาได้ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย