44 ส.ส.หายใจคล่องคอ หลัง กกต.มีมติขยายเวลาให้อนุฯสอบไปอีก 15 วัน ขณะเดียวกัน นัดชี้ชะตากรณีร้องเมีย “กษิต” ถือหุ้นบริษัทสัมปทานรัฐ 16 ก.ค.นี้ ด้าน “สมชัย” แจงเหตุคำวินิจฉัยฟัน 16 ส.ว.ล่าช้า อ้างรอ “ประพันธ์” กลับจากเมืองนอกมาเซ็น ยันหวังสร้างบรรทัดฐานการเมือง ชี้รอศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาอีกครั้ง
วันนี้ (9 ก.ค.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงว่า ที่ประชุมได้มีมติขยายเวลาให้กับคณะกรรมการไต่สวนกรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ร้องขอให้ตรวจสอบการสิ้นสุดสมาชิกภาพของ ส.ส. 44 ราย เนื่องจากถือหุ้นเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ประกอบ มาตรา 265 (2) และ (4) อีก 15 จากที่ขอมา 30 วัน เนื่องจากคณะกรรมการได้รายงานว่า ตามที่ กกต.ได้ขยายเวลาให้ 15 วันก่อนหน้านี้ ได้มีหนังสือเร่งรัดไปยังบริษัทที่ผู้ถูกร้องเข้าไปถือหุ้นอยู่ และมีหนังสือถึงตลาดหลักทรัพย์และกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อตรวจสอบการถือครองหุ้นขอคู่สมรส ของผู้ถูกร้อง และมีหนังสือเร่งรัดไปยัง ป.ป.ช.เพื่อขอตรวจสอบการถือครองหุ้นในส่วนของบุตร รวมถึง 5 หน่วยงานราชการ ที่อาจเข้าข่ายรับสัมปทานจากรัฐและมีหนังสือแจ้งไปยัง ส.ส.ที่ถูกกล่าวหา ซึ่งยังไม่ได้เข้าชี้แจงอีก 8 ราย ซึ่ง กกต.เห็นว่าขณะนี้เหลือเพียงขั้นตอนการสรุปผลการสอบสวนและทำรายงานเสนอต่อประธาน กกต.เท่านั้น จึงอนุญาตให้ขยายอีกเพียง 15 วัน นับจากวันที่ 9 ก.ค.และจะครบกำหนดในวันที่ 23 ก.ค.ที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับ 8 ส.ส.ที่ยังไม่เข้าชี้แจง กกต.ได้เสนอว่า หากไม่สะดวกมาชี้แจงด้วยตนเองก็ให้ทำเป็นบันทึกถ้อยคำกลับมา หรือให้ระบุในท้ายหนังสือเชิญ ว่า หากไม่ประสงค์มาชี้แจงก็จะถือว่าไม่ติดใจ
นอกจากนี้ ประธาน กกต.ยังแจ้งว่าได้รับรายงานผลการสรุปรายงานการอบสวนกรณี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ร้องขอให้ตรวจสอบการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เนื่องจากภรรยาถือครองหุ้นในบริษัททางด่วนกรุงเทพ และได้สำเนารายงานการสอบสวนแจก กกต.ทุกคนนำไปศึกษา พร้อมกับนัดพิจารณาลงมติในวันที่ 16 ก.ค.นี้
ด้าน นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวถึงกรณีที่ กกต.ยังไม่ได้ส่งคำวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติ 16 ส.ว.ที่ถือหุ้นสัมปทานรัฐให้ประธานวุฒิสภาพิจารณาแม้เวลาจะผ่านมาแล้วกว่าสองสัปดาห์ ว่า ขณะนี้คำวินิจฉัยของ 16 ส.ว.จัดทำเกือบเสร็จสิ้นแล้ว รอเพียง นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารเลือกตั้ง ที่ขณะนี้เดินทางไปราชการที่ประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าหลังจากนายประพันธ์กลับมาไม่นานก็จะส่งเรื่องไปให้กับประธานวุฒิสภาได้ ทั้งนี้ การที่ กกต.ตัดสินเรื่องคุณสมบัติ ส.ว.เรื่องการถือหุ้นสัมปทานรัฐนั้นก็เพราะต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตีความและวางบรรทัดฐาน หากไม่ทำก็จะกลายเป็นปัญหาคาราคาซัง เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาหลายอย่างและคนที่จะวินิจฉัยได้คือศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยืนยันว่า กกต.จะไม่รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยจะพิจารณาสำนวนที่ร้อง ส.ส.ถือหุ้นต่อไปเลยหากอนุกรรมการสอบสวนแล้วเสร็จ หากเรื่องยังสอบไม่เรียบร้อยก็จะเปิดโอกาสให้อนุฯ ทำต่อ เพราะตอนนี้เรามีหน้าที่ต้องสอบให้สิ้นกระแสความเสียก่อน