นายกฯอภิสิทธิ์ กล่าวปิดงานสัมมนา “ทิศทางการแก้ไขปัญหาภาคใต้ในระยะต่อไปของรัฐบาล” เชื่อ ปัญหาชายแดนใต้แก้ได้โดยเน้นใช้ “การเมืองนำการทหาร” ปฏิเสธใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ฉะคนที่ใช้ความรุนแรง สร้างความกลัวไม่มีวันชนะ แนะหันหน้าพูดคุยกัน
วันนี้ (30 มิ.ย.) ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ถนนวิภาวดีรังสิต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาปิดการสัมมนา “ทิศทางการแก้ไขปัญหาภาคใต้ในระยะต่อไปของรัฐบาล” โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า จากการสัมมนาตลอดทั้งวัน ทำให้รับรู้ว่า มีข้อเสนอต่างๆ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ถ้าย้อนหลังไม่เกิน 10 ปี หากพูดถึงเรื่องของสังคม สันติสุข และความขัดแย้งนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องความรุนแรงเป็นไม่เป็นข้อห่วงใยของสังคมไทยทั่วไป สมัยยุคหนึ่งปัญหาความรุนแรงในครอบครัวถือเป็นความรุนแรงที่สุด ทำให้นานาชาติรู้สึกว่าสังคมไทยในฐานะสังคมแห่งสันติภาพ ไม่มีปัญหาความขัดแย้งพื้นฐาน ทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา และทางการเมือง แต่ก็ต้องยอมรับว่า การที่เรามีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการสร้างกระบวนการยุติความรุนแรง ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เป็นตัวสะท้อนทั้งระบบความคิด การบริหารจัดการความคิดทั้งภาครัฐและประชาชนมีปัญหาที่ต้องเร่งสะสางแก้ไข ไม่สามารถปล่อยให้ลุกลามได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ในเบื้องต้นตนขอตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ใช่เฉพาะปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่จะทำอย่างไรให้สังคมอยู่ร่วมอย่างมีความสุขได้ ซื่อถือเป็นตัวบ่งบอกว่า การแก้ปัญหาดังกล่าว เช่น การปัญหาภาคใต้ ไม่ใช่เรื่องการแก้ปัญหาของคนในพื้นที่ แต่แก้บนความเข้าใจและทัศนคติของสังคมที่จะมีต่อความหลากหลาย ความเห็นที่ไม่ตรงกัน ในระดับต่างๆ เชื่อว่าหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับด้านนี้โดยเฉพาะสถาบันพระปกเกล้าต้องเร่งรัดให้ภาพรวมของสังคมไทยมีความเข้าใจที่ดีต่อการแก้ไขปัญหาได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาภาคใต้นี้เป็นปัญหาที่มีรากฐานมายาวนานจากประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม มายาวนาน อย่ามองว่าเป็นปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นมีแนวทางแก้ปัญหาสำเร็จรูป โดยเฉพาะระยะหลังๆ ตนพูดว่า สถานการณ์ลุกลามไกลเกินกว่าที่เราคาดหวัง และพูดกันว่า 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ปัญหาจะจบ ตนไม่อยากย้อนประวัติศาสตร์ แต่ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา มีการปรับเปลี่ยนนโยบายถือเป็นความผิดพลาดนำไปสู่สถานการณ์เลวร้ายลง มีส่วนซ้ำเติมปัญหาบานปลายมากขึ้น ข้อเปรียบเทียบในสังคมพูดถึงความมีระเบียบและความไร้ระเบียบมันง่ายมาก แต่การทำของตกที่กระจายทั่ว จะรวมกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ใช้เวลาเท่ากัน แต่ต้องใช้เวลาในการสร้างระเบียบ
“เรื่องสันติภาพสันติสุข ความสมดุลที่ว่าคือ ความยอมรับความไว้เนื้อเชื่อใจ มันมีอยู่ เราพยายามประคับประคองเหตุการณ์ ไม่มีช่วงไหนที่เหตุการณ์สงบ แต่ควบคุมให้เหตุการณ์เกิดขึ้นน้อย คนที่เข้าร่วมเป็นคนส่วนน้อยคนในสังคมส่วนใหญ่ไม่ให้การยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับด้วยความสมัครใจ หรือยอมรับด้วยความจำใจก็ตาม แต่ความสมดุลเสียไปไม่สามารถเรียกกลับมาได้ เหมือนคบเพื่อนที่มีความคิดเห็นหลากหลาย แต่มีความไว้วางใจกันและกันก็เป็นเพื่อนที่ดีกันได้ แต่วันดีคืนดีมีเรื่องขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถไว้วางใจกันได้ ก็จะมีปัญหากัน แต่การทำให้กลับมาไว้เนื้อเชื่อใจกันเหมือนเดิมมันยาก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากให้สังคมเข้าใจ จึงย้ำว่า การแก้ปัญหาตรงนี้สังคมต้องมีความอดทนมั่นใจในแนวทางว่าถ้าเชื่อเรื่องความยุติธรรม โอกาส อาศัยกลไกทางการเมืองตามเจตนารมณ์นี้ต้องใช้เวลา ต้องนึกว่า ฝ่ายที่ไม่ต้องการแบบนี้ไม่ให้เราแน่วแน่กับแนวทางนี้ต้องตอบโต้ หัวใจในความสำเร็จของการแก้ปัญหา คือ การสร้างเจตนารมณ์และวิสัยร่วมให้ชัดเจน ยืนยันว่า รัฐบาลในวันนี้มีความชัดเจนในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สิ่งที่ต้องการเห็น คือ พื้นที่ 3 จังหวัด อำเภอในจังหวัดสงขลาอยู่ภายใต้การปกครองรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร จะเป็นการปกครองซึ่งพี่น้องในพื้นที่ที่มีความแตกต่างในความเชื่อได้รับการดูแล จะช่วยลดความสูญเสีย และความรู้สึกที่ถูกบีบบังคับอยู่ในสังคมที่ตรงหรือไม่ตรงกับความต้องการ การแก้ปัญหาในจุดนี้ต้องทุ่มเทในกระบวนการด้านพัฒนา การคุ้มครองดูแลความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของประเทศอย่างสมบูรณ์
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับเรื่องการเมืองนำการทหาร ไม่ได้หมายความว่า บทบาทของกองกำลังหรือขีดความสามารถด้านความมั่นคงไม่มีเลย ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้การพึ่งพาฝ่ายความมั่นคงจะต้องเดินควบคู่กันไปในการดำเนินนโยบายรัฐบาลให้เป็นจริง และความสำเร็จสุดท้ายการชี้วัดความสำเร็จในการแก้ปัญหาจะต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ งบประมาณด้านทหารจะต้องลดลง ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จที่มีความมั่นคงที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม กองกำลังทางทหารยังจำเป็นต้องรักษาความมั่นคงในพื้นที่ จำเป็นต้องปฏิบัติการบางอย่าง เหมือน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
“มีความจำเป็นต้องเข้าไปดำเนินการในพื้นที่เมื่อมีข้อมูล ชัดเจนว่า มีการสะสมอาวุธ สะสมวัตถุระเบิด มีบุคคลที่มีหมายจับชัดเจนต้องนำตัวมาดำเนินคดี แต่ขณะนี้กองทัพ ตำรวจ ข้าราชการฝ่ายปกครองทราบดีว่าการอยู่ตรงนั้นเป็นดาบ 2 คม หากใครก็ตามไม่อยู่ในกรอบนโยบายที่ต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ละเมิดกฎหมาย หรือทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เหนือกฎหมาย เหตการณ์ยิงในมัสยิดไอปาแย อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส จะเป็นบททดสอบ ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ก่อเหตุให้เห็นชัดว่ารัฐบาลไม่เลือกปฏิบัติแม้จะเป็นเจ้าหน้าที่แต่ข้อมูลที่มีอยู่นั้นต้องนำไปให้เจ้าหน้าที่ แต่จะเป็นคนกลุ่มใดอย่างไรก็ต้องว่าตามข้อเท็จจริง หากเป็นเจ้าหน้าที่ต้องลงโทษ เพราะไม่ได้เป็นนโยบายรัฐบาลให้ไปก่อเหตุในลักษณะอย่างนี้หากการกระทำเช่นนี้หากเกิดขึ้นหลายครั้งจะส่งผลต่อขวัญของประชาชนในพื้นที่ทุกกลุ่มไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ตนเชื่อว่า การพัฒนาจะช่วยแก้ปัญหาได้แต่การพัฒนาต้องใช้งบประมาณ หากใช้งบแล้วไม่พัฒนาก็ไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้น จึงมีการพูดว่าที่ผ่านมาใช้งบเป็นหมื่นแสนล้านเป็นเหตุใดการพัฒนาไม่ดีขึ้น แปลว่า เป็นการใช้งบประมาณสิ้นประโยชน์ทั้งนี้ให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยกระดับรายได้ของประชาชนตามกระบวนการพัฒนาฟื้นเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับประชาชนและชุมชน รวมไปถึงการสร้างงาน เช่นสนับสนุนโครงการส่งเสริมและพัฒนาคนโดยเกี่ยวข้องกับการศึกษา หรืออุตสาหกรรมฮาลาล อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะฟื้นฟูด้านการศึกษาโดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนเพื่อให้ผลักดันนโยบายให้มีความเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตโครงสร้างงานด้านความมั่นคงทั้งกอ.รมน. และศอ.บต.ตนเองในฐานะนายกฯไม่ต้องพูดอะไรมาก จริงๆ แล้วต้องการบูรณาการในลักษณะถาวรต้องเป็นหน่วยงานที่มีกฎหมายรองรับมีฝ่ายการเมืองรับผิดชอบ เพราะงาน 2 ฝ่ายเชื่อมโยงกัน ขณะนี้งานด้าน ศอ.บต.ทั้งตนรู้สึกเห็นใจผู้ปฎิบัติงาน ซึ่งกฎหมาย ศบ.ชต. เราก็จะไปพิจารณาพยายามผลักดันให้เข้าสู่สภาในสมัยประชุมนี้ ขณะนี้กำลังผลักดันกฎหมายความมั่นคงไปใช้แทนกฎอัยการศึก อาจจะเริ่มจากจังหวัดชายแดนพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ
“เรากำลังเอากฎหมายพิเศษที่เบากว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินและกฎอัยการศึกค่อยๆ เข้ามาทดแทน เพราะรัฐบาลมีการต่ออายุ พ.ร.ก. มาแล้วถึง 2 ครั้งเพราะไม่มีทางเลือก แต่ได้กำหนดไว้ว่า เมื่อมีการต่อ พ.ร.ก.ในครั้งที่ 2 ขอให้ไปทำสำรวจประเมินทบทวนอย่างจริงจังชัดแจ้ง สรุปว่า แนวทางการเมืองนำการทหารชัดเจนและกำลังเร่งดำเนินการ แต่ต้องยอมรับว่า เรากำลังพูดถึงคนจำนวนหลักหมื่นหลักแสน การทำความเข้าใจต้องใช้เวลา แต่มั่นใจว่า รัฐบาลแน่วแน่และไม่หวั่นไหว แม้จะถูกทดสอบเหมือนช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หากยังแน่วแน่แบบนี้เชื่อว่า เราจะเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนกระบวนการพูดคุยทำความเข้าใจยังดำเนินการอยู่ และสุดท้ายขบวนการเป้าหมายทั้งหลายของเขา หากพูดถึงการมีคุณภาพชีวิตและมีความสงบสุขไม่ถูกเลือกปฏิบัติ อีกทั้งยังคงอัตลักษณ์ของตนเองไว้ได้ เป้าหมายนี้ไม่แตกต่างกับเป้าหมายของรัฐบาลและยังยืนยันว่า รัฐบาลไม่ยอมรับวิธีความรุนแรง และไม่เชื่อว่า ใครใช้วิธีการรุนแรงจะสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ อย่างมากที่สุดสร้างได้คือความกลัว คนที่ใช้ความรุนแรงสร้างกลัวไม่มีวันชนะ ไม่มีทางแก้ปัญหาและนำไปสู่เป้าหมายที่อ้าง เพราะความรุนแรงพิสูจน์ได้ว่าคุณไม่ได้เชื่อเรื่องเหล่านี้ ถ้าเชื่อต้องหยุด แล้วมาพูดคุย ผมยืนยันความจริงใจ และมั่นใจว่า เราต้องการสร้างสันติสุข” นายอภิสิทธิ์ กล่าว