xs
xsm
sm
md
lg

ดันงบ1.8หมื่นล้านดับไฟใต้ใช้กม.มั่นคงแทนอัยการศึก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - "เทพเทือก" นำทีมลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เตรียมทุ่มงบ 1.8 หมื่นล้านแก้ปัญหา โปรยยาหอมคนนราฯอีก 3 ปีต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 1 แสนบาทต่อคน ยันการแก้ปัญหาความไม่สงบเดินมาถูกทางแล้ว ประชาชนยังมีขวัญกำลังใจที่ดี สั่งระดมกวาดล้างอาวุธสงครามในภาคใต้เป็นการด่วน หลังเกิดคดีอุจฉกรรจ์สังหารนักการเมืองท้องถิ่นบ่อยครั้ง "มาร์ค" วางตารางถกปรับทิศทางดับไฟใต้ เตรียมยก กม.ความมั่นคงบางมาตรามาใช้ แทนกฎอัยการศึก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 06.00 น. วานนี้ (28 พ.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ออกเดินทางไปตรวจเยี่ยมจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายสุเทพ กล่าวถึงกรณีที่เกิดเหตุรุนแรงในพื้นที่ จ.ยะลาหลายจุด ว่า เป็นความพยายามของกลุ่มก่อการที่จะสร้างสถานการณ์ให้ดูว่ายังมีศักยภาพอยู่ ซึ่งรัฐบาลจะต้องแก้ไขปัญหาไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้มุ่งไปที่การประหัดประหารกัน แต่พยายามที่จะเน้นเรื่องการพัฒนา การทำให้พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่รู้สึกว่าสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อประชาชนจะได้ไม่ให้ความร่วมมือหรือช่วยเหลือฝ่ายที่ก่อการ และในขณะเดียวกัน ต้องดูแลมาตรการต่างๆ เพื่อเติมเพื่อให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมีมากขึ้น มีการเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ให้มากขึ้น
"วันนี้ผบ.ทบ.ก็ลงไป มีรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม กระทรวงพัฒนาสังคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะลงไป และผมลงไปคราวนี้เมื่อประชุมซักซ้อมกันเสร็จ จะทำรายงานเสนอนายกรัฐมนตรี และจะประชุมคณะรัฐมนตรีภาคใต้ เพราะเราคิดว่าจะผลักดันการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เดินหน้าไปให้เร็วที่สุด เรามีงบประมาณ 18,000 ล้านบาทเศษ" นายสุเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายสุเทพ เดินทางถึงสนามบินนราธิวาส เมื่อเวลา 08.45 น. ซึ่งตามกำหนดการเดิมนั้น จะเดินทางไปพบปะกับกลุ่มเกษตรชาวสวนปาล์ม ประมาณ 1,500 คน ที่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มสหกรณ์นิคมบาเจาะจำกัด บ้านบือราเป๊ะ หมู่ 4 ต.โคกเคียน เป็นจุดแรก ในเวลา 09.00 น. จุดที่ 2 เดินทางไปพบปะกับกลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน ที่สำนักงาน อบต.โคกเคียน บ้านโคกเคียน หมู่ 5 ต.โคกเคียน ในเวลา 10.30 น.และเวลา 11.30 น. จะเดินทางไปพบปะกับกลุ่มเกษตรกรที่ฟาร์มตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียง บ้านป่าไผ่ หมู่ 8 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ
ทั้งนี้ นายสุเทพ ได้เปลี่ยนกำหนดการโดยไปพบปะกับกลุ่มชาวประมงพื้น บ้านก่อนเป็นจุดแรก เสร็จแล้วจึงเดินทางมายังโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มสหกรณ์นิคมบาเจาะจำกัดเมื่อเวลา 11.00 น.ทำให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มประมาณ 1,500 คน ที่เดินทางมาคอยต้อนรับตั้งแต่เวลา 08.00 น. เสียเวลารอคอยนายสุเทพอยู่นานถึง 3 ชั่วโมง
ในการพบปะกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านนั้น ตัวแทนชาวประมง บรรยายสรุปว่าใน อ.เมืองนราธิวาส มีหมู่บ้านและชุมชนที่อยู่ติดกับชายทะเล และชาวบ้านมีอาชีพทำการประมงรวม 17 หมู่บ้าน 5 ชุมชน ส่วนใหญ่มีปัญหาความเดือดร้อนใน 5 เรื่อง คือ 1.ไม่สามารถทำการประมงได้ตลอดปี เพราะทะเลมีลมมรสุมปีละ 4 เดือน 2. จับสัตว์น้ำได้น้อยลง และน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูงขึ้น 3.ปัญหาวาตภัย และคลื่นลมพัดชายฝั่ง และบ้านเรือนได้รับความเสียหาย 4.ปัญหาขาดน้ำอุปโภคเนื่องจากสภาพน้ำใต้ดินแถบหมู่บ้านชายทะเล มีรสเค็ม และ 5. เครื่องมือประมงชำรุด เป็นผลกระทบจากปะการังเทียม เนื่องจากทุ่นแสดงจุดที่ตั้งของปะการังเทียมในทะเลชำรุด
ส่วนการพบปะกับกลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์มนั้น นายสุเทพ กล่าวว่ารัฐบาลจะส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ จ.นราธิวาส ที่อยู่ในที่ลุ่มหันมาปลูกปาล์มกันให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งภายใน 3 ปีถัดจากนี้ ชาวบ้านจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้ต่อครอบครัวไม่ต่ำกว่า 120,000 บาทต่อปี อย่างแน่นอน
นายสุเทพ เปิดเผยถึงการแก้ปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ได้เดินมาถูกทางแล้ว แต่ยังคงต้องใช้เวลาในการคลี่คลายปัญหา ซึ่งตนได้กำชับทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ให้ปฏิบัติงานด้วยความรอบคอบ และระมัดระวังให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน
ส่วนกรณีคนร้ายใช้อาวุธสงครามสังหารนักการเมืองท้องถิ่นในภาคใต้บ่อยครั้งนั้น ก็ได้สั่งเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เร่งระดมกวาดล้างอาวุธสงคราม และกลุ่มมือปืนรับจ้าง เพื่อป้องกันการเกิดคดีอุจฉกรรจ์ และปัญหาอาชญากรรม ในทุกท้องที่ที่มีการแข่งขันทางการเมืองระดับท้องถิ่นสูง และมีความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงเป็นการเร่งด่วนแล้ว
ต่อมา นายสุเทพ และนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย พร้อมคณะ เดินทางมาติดตามความคืบหน้า และปัญหาเรื่องติดขัดในการก่อสร้างถนนสาย 418 ระหว่างบ้านคลองขุด จ.ปัตตานี – บ้านท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา จากหน่วยเฉพาะกิจทหารช่าง (กองพลทหารช่าง)

**เร่งสร้างทางเชื่อมยะลา-ปัตตานี
ทั้งนี้ พล.ท.กสิกร คีรีศรี ผู้บัญชาการกองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (ผบ.พตท.) นายธีระ มินทราศักดิ์ ผวจ.ยะลา และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ ซึ่งถนนสาย 418 ระหว่างบ้านคลองขุด จ.ปัตตานี–บ้านท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา ระยะทาง 29 กม. ทางหน่วยเฉพาะกิจทหารช่าง (กองพลทหารช่าง)ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการก่อสร้างถนนสายดังกล่าว แทนผู้รับเหมาเดิม ที่ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างต่อไปได้ เนื่องจากปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การก่อสร้างถนนดังสายกล่าวเสร็จกว่าร้อยละ80 แล้ว นานสุเทพ กล่าวว่า ถนนสาย 418 เป็นถนนที่มีความความสำคัญในการที่จะแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากก่อสร้างแล้วเสร็จ ก็จะส่งผลดีทางด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น การคมนาคมขนส่งสินค้าทางการเกษตร จากพื้นที่ จ.ยะลา ไปยังจ.ปัตตานี และจังหวัดใกล้เคียงได้สะดวก พร้อมทั้งมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลังจากได้รับทราบข้อมูลและปัญหาในจุดต่างๆ แล้ว ตนจะนำปัญหา และอุปสรรค ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านของเงินงบประมาณไปเข้าที่ประชุมครม. เพื่อทำการจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้
ส่วนปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ หรือคนพื้นที่ มีความเข้าใจถึงสถานการณ์เป็นอย่างดี ยังไม่ถึงขนาดเสียขวัญ ซึ่งประชาชนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ในพื้นที่ลดลงมาก และไม่ได้รุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา ตนมั่นใจว่าสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น มีเพียงบางช่วง บางจังหวะเท่านั้น ที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบพยายามสร้างสถานการณ์ เพื่อเสดงให้เห็นว่ากลุ่มของตนเองยังมีศักยภาพในการก่อเหตุร้ายอยู่ในพื้นที่ แต่ทางเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่า ตำรวจ ทหาร และ ฝ่ายปกครอง ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งทางรัฐบาลเอง ก็จะได้เร่งส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ดีขึ้น

**พบปะประชานที่ปัตตานี
ช่วงบ่ายนายสุเทพ และคณะได้เดินทางมายังหมู่บ้านแม่ตีนะ ต.แม่ลาน อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เพื่อเยี่ยมชมโครงการต่างๆ ของประชาชนในพื้นที่ ประกอบด้วย, กลุ่มเลี้ยงแพะ กลุ่มผลิตน้ำดื่มเพื่อการบริโภค กลุ่มช่างกลึงไม้เฟอนิเจอร์ กลุ่มสตรีตัดเย็บเสื้อผ้ามุสลิม และกลุ่มนาร้างของหมู่บ้าน
พร้อมทั้งได้ร่วมกิจกรรมพลังมวลชนรักสันติสุข โดยมีตัวแทนของกลุ่มได้นำเสนอโครงการที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จ ทำให้ราษฎรในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังต้องการให้ทางรัฐบาลเข้ามาช่วยดูแล โดยเฉพาะกลุ่มเลี้ยงแพะซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง โดยทางกลุ่มต้องการให้ทางรัฐบาลช่วยส่งเสริมเปลี่ยนพันธ์แพะให้ดีขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี ก็มีตลาดรองรับ ส่วนกลุ่มผลิตน้ำดื่มเพื่อการบริโภคได้ขอให้รัฐบาลช่วยดำเนินการเร่งรัดขอเครื่องหมาย อย.
ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวกับประชาชนที่มาในครั้งนี้ว่า ทางรัฐบาลจะเร่งดำเนินการตามที่กลุ่มต่างๆ ได้ขอไว้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ พร้อมกันนี้จะนำเรื่องทั้งหมดไปรายงานต่อนายกรัฐมนตรีให้เร่งดำเนินการอีกทางหนึ่งด้วย จากนั้นจึงเดินทางกลับที่พัก ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี

**ใช้ กม.ความมั่นคงแทนกฏอัยการศึก
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ว่า มีความเสียหาย และกระทบต่อความรู้สึกของคนซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และคณะได้เดินทางไปเร่งรัดแผนการดำเนินงาน และในสัปดาห์หน้า ตนตั้งใจจะคุยเรื่องนี้เป็นการเฉพาะรวมถึงเรื่องยาเสพติดด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้คุยกับทางกอ.รมน. เพื่อการปรับแผนโดยขณะนี้ได้ตัวโครงสร้าง และกำลังพลแล้ว ขั้นต่อไปจะใช้บางมาตรา แต่จะไปพันกับเรื่องการยกเลิกกฎอัยการศึก ซึ่งจะเริ่มจากพื้นที่ชายแดนทั้งหลาย ซึ่งไม่รวม 3 จังหวัดภาคใต้และ 4 อำเภอในพื้นจ.สงขลา หมายความว่าจะเริ่มมีการนำตัวกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่มาใช้ โดยมีเป้าหมายเบื้องต้นคือทดแทนกฎอัยการศึกในหลายพื้นที่ ทั้งนี้การจะใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ จะต้องผ่าน ครม. และการยกเลิกกฎอัยการศึก ไม่ใช่อำนาจของกอ.รมน.
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมไม่ทบทวนนโยบาย เพราะสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้ทบทวนโดยเฉพาะกฎหมายที่เป็นตัวสำนักงาน ทางกระทรวงมหาดไทย โดยนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย กำลังเร่งและการทบทวนเรื่องการใช้กฎหมายพิเศษรอบนี้ จะให้ทาง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นผู้ประเมิน ซึ่งคราวที่แล้วหน่วยงานประเมินเอง ขณะเดียวกันงานที่อยู่ในแผนพัฒนารวมทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายบางเรื่องตนจะนำมาคุยอีกครั้ง
เมื่อถามว่า การจะใช้บางมาตรา ของกฎหมายความมั่นคง จะช่วยกระชับอำนาจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราต้องการหาความพอดี เพราะภาครัฐ มีความจำเป็นต้องมีอำนาจพิเศษ และคำว่าพิเศษ คือไม่ได้มีแต่กฎหมายอาญา ทั้งนี้จะต้องไม่เป็นการสร้างเงื่อนไขให้กับฝ่ายตรงข้ามที่จะนำไปใช้โดยกล่าวหาว่า รัฐใช้อำนาจแบบไม่มีความรับผิดชอบ หรือใช้อำนาจแล้วสร้างความเดือดร้อนให้เขา อย่างไรก็ตาม ฝ่ายปฏิบัติก็ตระหนักโดยทาง กอ.รมน. เพิ่งกำชับในเรื่องวิธีการปฏิบัติตามการใช้กฎหมายพิเศษ

**ผบ.ทบ.รับได้ กม.ความมั่นคง
ด้านพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ภาคใต้ร่วมกับนายสุเทพ ว่า โดยหลักการเพื่อทำให้การทำงานเป็นไปตามกรอบ โดยเรื่องที่ กอ.รมน. ภาค 4 ดำเนินการในการแก้ไขปัญหา โดยจะใช้การสั่งการในระดับรัฐมนตรี หรือรัฐบาลเพื่อดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรม หรือปัญหาที่เกิดขึ้น มันติดขัดตรงไหน ทั้งนี้ไม่อยากวิเคราะห์สถานการณ์ แต่เป็นเรื่องที่กำลังแก้ไขอยู่ในพื้นที่ มาตรการที่ตนจะต้องลงไปดูเป็นพิเศษคือ การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ชุมชน ซึ่งมีมาตรการต่างๆ อยู่แล้ว แต่จะมาดูว่าทำไมถึงมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ต้องให้เจ้าหน้าที่มาวิเคราะห์ว่า ทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก
พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงแนวคิดของ นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย มีแนวคิดที่จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อให้สถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้น ว่า กฎหมายอะไรดีทั้งนั้น หากทำให้ปัญหาภาคใต้ดีขึ้น หรือสงบเรียบร้อยแก้ไขปัญหาได้ก็ดี แต่ขณะนี้กฎหมายธรรมดาใช้ไม่ได้ ก็จำเป็นจะต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ กฎอัยการศึก แต่หากลดกฎหมายลง และเจ้าหน้าที่ทำงานได้ ก็ไม่ขัดข้อง แต่เจ้าหน้าที่จะต้องรับมือได้ หากไม่จำเป็นจะต้องใช้กฎหมายแรงก็ได้ เมื่อใช้กฎหมายที่เบาลงไป โอไอซี ก็คงจะรับได้ หรือ ยูเอ็น ก็พอใจ ตนก็ยิ่งดี แต่หากรับไม่ไหว ก็จำเป็นต้องใช้กฎหมายเช่นนี้อยู่
เมื่อถามว่า การทำงานในพื้นที่มีปัญหาระหว่าง ศอ.บต. กับ พตท. หรือไม่พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เป็นรายละเอียดที่จะต้องมาดูคุยกัน เพราะการทำงานตรงนี้จะต้องประสาน และบูรณาการร่วมกัน หากการแก้ไขปัญหาภาคใต้จะเดินไปด้วยดี การทำงานตรงนี้ก็จะต้องดี
ภายหลังการประชุมสภากลาโหม พ.อ.จิตตสักก์ เจริญสมบัติ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่าในที่ประชุมรมว.กลาโหม ได้กำชับให้เพิ่มมาตรการในชุดรักษาความปลอดภัยคุ้มครองครู หลังจากมีการก่อเหตุเกิดขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

**เด็ดหัว 2 โจรใต้แนวร่วมRKK
สำหรับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ผูสื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 21.00 น.วันที่ 27 พ.ค. ชุดเฉพาะกิจร่วม ตำรวจ ทหาร ทหารพราน และ ฝ่ายปกครอง ของ อ.ยะหา ได้เกิดปะทะกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่จะลงมาเอาเสบียงในป่าสวนยางพารา บริเวณคอสะพานบ้านอุเบง ริมถนนสายยะหา-บันนังสตา หมู่ที่ 4 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา และมีคนร้ายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2 คน ทราบชื่อ 1.นายสุคอนัย ลือแบนะ อายุ ประมาณ22 -25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 122/1 หมู่ที่ 4 ต.ปะแต อ.ยะหา สภาพศพถูกยิงเข้าที่บริเวณลำตัว และ ที่บริเวณศีรษะ จำนวนหลายนัด ข้างลำตัว ยังพบอาวุธปืนเอชเค (HK) พร้อมเครื่องกระสุน จำนวน 1 กระบอก ห่างกันประมาณ 50 เมตร พบศพ คนร้ายอีก 1 คน อายุ ประมาณ 20 ปีเศษ ข้างลำตัวยังพบอาวุธปืนสงคราม เอ็ม16 A 2 พร้อมเครื่องกระสุนจำนวน 1 กระบอก
จากการสอบสวนทราบว่า มีกลุ่มคนร้ายไม่ต่ำกว่า 4 - 5 คน ลงมารับเสบียงที่บริเวณดังกล่าว เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย (ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง) ได้สนธิกำลัง เข้าไปในพื้นที่เพื่อทำการจับกุม แต่กลุ่มคนร้ายรู้ตัวก่อน และทำการยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ และได้เกิดการปะทะกันประมาณ 15 นาที คนร้ายเสียชีวิต 2 คน ส่วนเจ้าหน้าที่ทุกนายปลอดภัย
พล.ท. กสิกร คีรีศรี ผู้บัญชาการผสม พลเรือน ตำรวจ ทหาร (ผบ.พตท.) กล่าวถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ ว่า สืบเนื่องจากพี่น้องประชาชน พบเห็นกลุ่มบุคลต้องสงสัยพร้อมอาวุธปืนเข้ามาในหมู่บ้าน จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ได้ทราบความเคลื่อนไหว กระทั่งเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าปฏิบัติการดังกล่าว ในชั้นต้นจากการพิสูจน์ทราบ ทั้ง 2 คนที่เสียชีวิต อยู่ในขบวนการระดับ RKK ซึ่งได้ก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านในพื้นที่
ขณะนี้เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวกำลังขยายผลว่า ความเกี่ยวโยงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาในพื้นที่ มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้อย่างไรบ้าง ซึ่งการเข้ามาในพื้นที่ของทั้งสองคนที่เสียชีวิตมีการรวมตัวเป็นกลุ่มถึง 6 คน คาดว่าอาจรวมตัวกันเพื่อเข้ามาก่อเหตุ หรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งในพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เร่งติดตามความเคลื่อนไหวของแนวร่วมกลุ่มนี้ที่กำลังหลบหนีอยู่.
กำลังโหลดความคิดเห็น