“อภิสิทธิ์” พร้อมคณะเตรียมเดินทางไปเยือนมาเลเซีย พรุ่งนี้ (8 มิ.ย.) เพื่อกระชับความสัมพันธ์และสานต่อความร่วมมือในด้านต่างๆ พร้อมหารือข้อราชการ กับ ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และเข้าร่วมการหารือเต็มคณะ ระหว่างไทยกับมาเลเซีย คาดนำปัญหาชายแดนใต้หารือด้วย จากนั้นจะมีการแถลงข่าวร่วมของนายกฯ ทั้งสอง ปท. ขณะเดียวกันยอมรับยังไม่พอใจผลงานดับไฟใต้ เล็งลงพื้นที่เร็วๆนี้
วันนี้ (7 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ” กล่าวตอนหนึ่งว่า สัปดาห์ที่จะถึงตนจะเริ่มเดินทางไปเยือนประเทศในอาเซียน เนื่องจากว่าตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งยังไม่ได้เดินทางไปครบในทุกประเทศตามธรรมเนียม สำหรับสัปดาห์หน้าจะมีมาเลเซีย และกัมพูชา ซึ่งจะมีประเด็นหลายประเด็น และคงจะได้มีโอกาสมาเล่าให้ได้รับรู้รับทราบถึงความร่วมมือที่ไปพูดคุยเจรจาหารือกัน
“สัปดาห์หน้าจะเก็บได้อีก 2 ประเทศ แต่ก็ยังค้างอยู่ มาเลเซีย กัมพูชา แต่ผมยังค้างฟิลิปปินส์ ยังค้างบรูไน ยังค้างพม่า สิงคโปร์ ผมจะไปวันที่ 22 แล้วก็ปลายเดือนนี้จีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญมาก ผมก็จะเดินทางไป เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นเดือนกรกฎาคม ก่อนที่จะเปิดสมัยประชุมอีกครั้งหนึ่งเดือนสิงหาคม ก็คงจะหาจังหวะ เวลา โอกาส ในการที่จะลงพื้นที่มากขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ปัญหาที่เข้ามาสะสางนี้มันมีค่อนข้างเยอะ และการประชุมต่างๆ เยอะมาก บางคณะตั้งแต่เกิดปัญหาการเมืองมา บางคณะไม่ได้ประชุมมาเป็นปี งานบางอย่างไม่เดิน ตนพยายามมาเร่งรัดตรงนี้ แต่ก็ยังหวังว่าเดือนหน้าเป็นต้นไปน่าจะมีเวลาที่จะลงไปพื้นที่ ในช่วงที่ยังไม่เปิดสมัยประชุมสภา แล้วก็เริ่มไล่เก็บในการเดินทางไปต่างประเทศที่เป็นเรื่องที่จำเป็น
ทั้งนี้ สำหรับกำหนดการเดินทางเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ นายอภิสิทธิ์ และคณะ จะเดินทางในวันที่ 8 มิ.ย.เพื่อกระชับความสัมพันธ์และสานต่อความร่วมมือในด้านต่างๆ กับมาเลเซีย รวมทั้งเพื่อสร้างความมั่นใจกับผู้นำมาเลเซีย เกี่ยวกับนโยบายและเจตนารมณ์ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับมาเลเซียในฐานะ “พันธมิตรทางยุทธศาสตร์”
สำหรับกำหนดการนั้นในวันจันทร์ที่ 8 มิ.ย.เวลา 05.50 น.นายกรัฐมนตรีและคณะ ซึ่งประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และพลโท สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยจะเดินทางออกจากท่าอากาศยานขนส่งทหาร (กองบิน 6) โดยเที่ยวบินพิเศษของกองทัพบก ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ถึงมาเลเซียในเวลา 09.00 น.
จากนั้น ในช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารที่ทำการของฝ่ายกุงสุล ณ สถานเอกอัครราชทูต และเป็นประธานการประชุมทีมประเทศไทยในมาเลเซีย พร้อมทั้งให้โอวาทแก่ชุมชนชาวไทยในมาเลเซีย หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะร่วมรับประทานอาหารกลางวัน กับคณะเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์
ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังเมืองปุตราจายา เพื่อเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ในเวลา 13.30 น.และหารือข้อราชการกับ ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และเข้าร่วมการหารือเต็มคณะระหว่างไทยกับมาเลเซีย ณ สำนักนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยคาดว่า จะมีการหยิบยกประเด็นความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และการแก้ไขปัญหาบุคคล 2 สัญชาติขึ้นหารือหลัง จากนั้นจะมีการแถลงข่าวร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
เวลาประมาณ 16.00 น.นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังพระราชวัง Istana Negara เพื่อเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย และเดินทางกลับมายังโรงแรม J.W Marriott ที่รัฐบาลมาเลเซียจัดให้เป็นโรงแรมที่พัก เพื่อให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนมาเลเซียเกี่ยวกับการเดินทาง เยือนมาเลเซียในครั้งนี
ในตอนค่ำ ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อเป็นเกียรติแก่ นายกรัฐมนตรี และคณะ ณ เรือนรับรอง Sri Satria เมืองปุตราจายา ก่อนที่จะเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อจะเดินทางกลับถึงท่าอากาศยานขนส่งทหารบก ในเวลา 23.50 น.
นายกฯ ยังกล่าวถึงการประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่มีการหารือถึงสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ที่ไม่ได้พูดเพราะว่าทราบว่าจะมีการสอบถามพูดคุยกันเรื่องนี้ เพราะต้องคุยกันลึกพอสมควร สิ่งแรกที่อยากจะย้ำคือว่า สถานการณ์ปัญหาภาคใต้นี้เป็นสถานการณ์ซึ่งเป็นปัญหามายาวนาน แล้วก็มารุนแรงขึ้นมากในช่วง 5 - 6 ปีที่ผ่านมา ความรุนแรงตรงนี้จะแก้ได้ต้องปรับในเรื่องจุดเน้นของนโยบาย ซึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงมาคือในช่วงก่อนหน้านี้มีบางช่วงที่ไปเน้นเรื่องของ การใช้ความรุนแร แล้วก็ไป พูดง่าย ๆ คือไปปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ซึ่งมันเคยมีความสมดุลของมันอยู่ ในแง่ของการที่จะเอาทุกหน่วยงานมารวมกัน ที่เป็น ศอ.บต. สมัยก่อน พอตรงนั้นได้รับการเปลี่ยนแปลงกระทบไป ระบบการข่าวระบบอะไรต่างๆ มีปัญหา แล้วก็มาเกิดเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ กรือเซะ ตากใบ คดีของทนายสมชายฯ ซึ่งก็ทำให้ปัญหานี้มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น
“สิ่งที่ผมได้ย้ำว่าเป็นการปรับนโยบายก็คือ หนึ่ง เรามามุ่งเน้นเรื่องกระบวนการพัฒนา แล้วก็มีการอนุมัติแผนพัฒนาแล้วขณะ ก็เช่นเดียวกันคงจะประมาณสิงหาคม กันยายน อะไรต่างๆ ที่เงินตรงนี้จะลงไป ผมมาปรับแก้ในเรื่องของขวัญกำลังใจในหลาย ๆ เรื่องนะครับ เรื่องเบี้ยเสี่ยงภัยขณะนี้ก็อนุมัติเงินไป ยังไม่ครบ แต่ว่าผมไล่ทำอยู่ ก็คิดว่าจะครบภายในสัปดาห์ สองสัปดาห์นี้ มีเรื่องของการอนุมัติเรื่องของการให้ความดีความชอบอะไรต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่ที่ไปปฏิบัติงานนะครับ”นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ขณะเดียวกันนี้ก็กำลังปรับในเรื่องของการใช้กฎหมาย ซึ่งขณะนี้มีทั้งกฎอัยการศึก มีทั้ง พ.ร.ก. ประกาศใช้อยู่ 4 อำเภอสงขลาก็มีกฎอัยการศึกอยู่ ก็กำลังจะเอาตัวกฎหมายความมั่นคงใหม่ ซึ่งเอาเข้ามา เพื่อลดเงื่อนไขของการที่จะมีการหยิบยกว่ามีการไปใช้อำนาจ และก็ไปละเมิดสิทธิของประชาชนหรือไม่ แต่ว่าตรงนี้ก็ได้รับการตอบรับจากผู้ปฏิบัติอย่างดี ขณะนี้ก็มีการกำชับว่า ตราบเท่าที่ พ.ร.ก. กฎอัยการศึกยังประกาศใช้อยู่ การใช้อำนาจในทางปฏิบัติต้องระมัดระวังมาก ๆ อย่าไปสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติม ซึ่งอำนาจเจ้าหน้าที่จะเปลี่ยนแปลงไป โครงสร้างอะไรต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงไป ทีนี้ระหว่างที่เราทำอยู่นี้ จริงๆ แล้วการทำงานของเจ้าหน้าที่ก็เดินไป ก็พยายามดูแล ฝ่ายความมั่นคงก็ทำไป การพัฒนาก็ทำไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ถ้าพูดถึงตัวเลขของเหตุการณ์ มันก็ดีขึ้น แต่ว่าความรู้สึกมันไม่ดีขึ้น เพราะมันยังเกิดอยู่ทุกวัน คือเราลดมาก็จริง แต่ก่อนหน้านี้โดยเฉลี่ยอาจจะ 3 - 4 เหตุการณ์ต่อวันเลย แต่ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นทุกวัน ไม่มีใครพอใจ ตนก็ไม่พอใจ ก็ได้มาซักซ้อมกันอีกครั้งหนึ่ง ก็ยังเห็นว่าที่ผ่านมามีจุดอ่อนอยู่บ้าง หนึ่ง คือเรื่องบูรณาการ ยังเป็นปัญหาอยู่ งานด้านพัฒนากับงานด้านความมั่นคงยังไม่ค่อยเชื่อมกันนัก ซึ่งเราจะต้องปรับโครงสร้างเป็นกฎหมายต่อไป แต่ระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมาย ก็จะต้องมาปรับปรุงตรงนี้ ส่วนที่สองก็คือว่า เราคงจะต้องมีความละเอียดอ่อนในการรับรู้ความรู้สึก ปัญหาต่าง ๆ แล้วก็ตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็ตามให้ดีกว่านี้ ซึ่งตรงนี้ก็จะมีการเร่งรัดดำเนินการ มีการซักซ้อมความเข้าใจกันอีกครั้งหนึ่ง และมีบางเรื่องอย่างเช่นการเยียวยา
“ขณะนี้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ บอกว่าสัปดาห์หน้า จะเอาเรื่องของกรณีตากใบเข้าไปในเรื่องของการเยียวยาด้วย เนื่องจากว่าขณะนี้ก็มีคำพิพากษามาในทำนองว่า เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิด เราก็จะไปดูในกระบวนการเยียวยา และเรายังให้ความสำคัญกับเรื่องของการที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุก ๆ ฝ่าย เพราะนั่นคือหัวใจ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็อยากจะบอกว่า ถามใจผมเหมือนผมก็บอกยังไม่พอใจ และจะปรับปรุงอย่างต่อเนื่องนะครับ แต่ต้องใช้เวลาอยู่อีกระยะหนึ่งนะครับ เพื่อที่จะให้ทุกอย่างมีความลงตัว มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น”นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลมีกลไกที่สะท้อนความรู้สึกของประชาชน เพราะว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นในสภาฯ เอง ซึ่งมีทั้ง ส.ส. และมีทั้งผู้นำสายต่าง ๆ เช่นผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา กลุ่มคนเหล่านี้เรามีช่องทางในการสื่อสารและเปิดโอกาสให้มาได้สะท้อนความคิด เห็นอยู่เกือบตลอดเวลา อย่างทุกเสาร์ - อาทิตย์ขณะนี้สภาฯ ก็จัดให้มีผู้นำทางศาสนาใน 3 จังหวัดมาเยี่ยมที่สภาฯ และได้มีโอกาสสะท้อนปัญหาให้ฟังทุกสัปดาห์ เพราะฉะนั้นตรงนี้เราพยายามที่จะทำให้ทุกฝ่ายได้มองเห็นว่าเราใส่ใจจริง ๆ นะกับปัญหา ส่วนการลงพื้นที่นั้นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ก็เพิ่งพาคณะไปลงพื้นที่มา และตนก็ตั้งใจว่าจะหาจังหวะโอกาสในการที่จะไปลงพื้นที่อีกครั้งหนึ่ง คือไปมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็จะไปดูความคืบหน้าในหลาย ๆ เรื่องอีกครั้งหนึ่ง