“สดศรี” แสดงความผิดหวังในการทำหน้าที่ของประธานวุฒิสภา เรียกร้อง กกต.ทบทวนมติชี้สถานภาพ 16 ส.ว.ถือหุ้นสัมปทานรัฐ ย้อนถามใช้ กม.มาตราอะไร หรือมีหลักฐานใหม่มาแสดงหรือไม่
วันนี้ (30 มิ.ย.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวตอบโต้ประธานวุฒิสภากรณีเสนอให้ กกต. ทบทวนมติเรื่องการถือครองหุ้นสัมปทานรัฐของ ส.ว.โดย้อนถามประธานวุฒิฯว่า เป็นอดีตตุลาการมาแล้วใช้กฎหมายหรือรัฐธรรมนูญมาตราใดมาให้ กกต. ทบทวน รัฐธรรมนูญฉบับ 2575 หรือเปล่า ประธานวุฒิเหมือนนายไปรษณีย์ ขณะที่กกต.เหมือนอัยการเมื่อสั่งฟ้อง ท่านก็ต้องส่งไป เศาลก็ต้องตัดสิน
“แต่กรณีนี้ท่านเป็นเพียงคนเดินสาสน์เอาเอกสารไปให้ศาล แต่นายไปรษณีย์กลับบอกว่าให้เอามาทบทวนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เรากำลังค้นกฎหมายเหมือนว่าใช้มาตราอะไรสั่งให้ทบทวน หรือใช้หลักอะไร กกต.เป็นองค์กรอิสระแยกออกจากกัน วุฒิสภาไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของ ของ กกต. แต่ละองค์กรต้องดูว่ามีบทบาทหน้าที่อย่างไร”
นอกจากนี้ยังยกตัวอย่างครั้งที่แล้วที่ประธานวุฒิเสนอให้กกต.ทบทวนมติกรณีขาดคุณสมบัติของนาย สุรเดช จิรัฐิติเจริญ ส.ว.ปราจีนบุรี ว่าประธานวุฒิก็อ้างว่ามีเอกสารที่กกต.ยังไม่พิจารณา แต่เมื่อส่งให้ อนุกรรมการก็ทราบว่าได้พิจารณาเอกสารนั้นไปแล้ว ซึ่งกกต.ก็ยืนตามความเห็นเดิม และทราบว่าขณะนี้ยังไม่ได้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่รู้ว่ามีข้อจำกัดอะไรหรือมีอะไรจึงยังไม่ส่ง
“การตัดสินเราทำตามกฎหมาย แต่การที่ประธานวุฒิบอกไม่ส่งหรือให้กลับมาทบทวนก็อยากจะทราบเหตุผลของท่าน อยากดูว่ากฎหมายใดให้อำนาจประธานวุฒิสภาในการระงับหรือไม่ส่งเพราะอะไร หากไม่ส่งผู้ที่ร้องเรียนก็อาจจะใช้สิทธิตาม 157 ของประมวลกฎหมายอาญา เรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เราถือว่าเราทำงานแล้ว แต่ผู้ร้องเรียนบอกว่ายังไม่จบสิ้นกระบวนการ หากยังยืนยันที่จะไม่ส่งก็เป็นเรื่องของผู้ร้องเรียนต่อไป เพราะการที่เขาร้องมาเขาก็มีเหตุผลในการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อยากฝากผู้ร้องว่าหากไม่มีการส่งก็แล้วแต่ท่านพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ”
ส่วนที่กกต.ตัดสินกรณีห้ามส.ว.ถือหุ้นแล้วมีผู้แย้งว่า ถือหุ้นน้อยไม่มีอำนาจบริหารไม่น่าจะเป็นความผิดนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องการตีความ กกต.ตัดสินแบบนี้เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้ ส่วนการที่ นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส. พรรคเพื่อไทยระบุว่า กกต. จ้องเล่นเล่นงาน ส.ส. นั้น อยากให้ไปดู รัฐธรรมนูญมาตรา 265 วรรคท้าย ใช้คำว่ากรณีคู่สมรส บุตร และผู้ที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เราไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้าในการสร้างกฎหมายเอง รัฐธรรมนูญว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น ที่จริงเขาก็มีอำนาจที่จะแก้รัฐธรรมนูญอยู่แล้วจะแก้ไขอย่างไรก็แล้วแต่ เราทำตามรัฐธรรมนูญ หากไม่ทำก็จะถูกดำเนินคดีที่ไม่ปฏิบัติตาม
“รัฐธรรมนูญปัจจุบัน ร่างจากนักการเมืองคนนึงเป็นตัวตั้งและพยายามจะปิดช่องว่างต่างๆ เป็นเรื่องที่มีความถูกต้องหรือไม่ อย่างการห้ามนักการเมืองไม่ให้บุคคลอื่นถือหุ้น ที่ไม่ใช่ลูกหรือภรรยา รวมถึงผู้ไม่ได้เป็นญาติ ก็ เป็นจตนาของรัฐธรรมนูญ ที่เขียนไว้”
นางสดศรี ยังกล่าวอีกว่า ทราบว่าประธานกกต. เพิ่งได้รับซองสรุปการสอบสวนจากคณะอนุกรรมการสอบสวน การประชุมกกต.วันนี้จึงคาดว่า ยังจะไม่มีการวินิจฉัย เพราะต้องมาพิจารณากันก่อน ต้องดูว่าสอบครบหรือไม่ เราถือว่าข้อเท็จจริงต้องสอบก่อนแล้วค่อยมาดูข้อกฎหมาย
เมื่อถามว่าหากอนุสอบส.ส.สรุปผลต่างจากอนุสอบส.ว.ที่กกต.ตัดสินไปแล้วจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวอนุสอบหรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า หากท่านแจ้งมาว่าทำไม่ได้ หรือมีข้อขัดข้อง หรือทนกระแสอะไรไม่ได้กกต.ก็จะเปลี่ยนคณะให้ แต่ต้องแสดงเจตนาว่าไม่สามารถวินิจฉัยได้ หากอึดอัดใจก็อยากให้แจ้งและเรายินดีเอาสำนวนคืนมา อย่างไรก็ตามการทำงานกับ กกต. ต้องเสียสละอดทนต่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งมากระตุ้น แต่จะให้เปลี่ยนโดยพลการกกต.ไม่เคยทำ เพราะเราให้เกียรติอนุกรรมการทุกคณะ