“สดศรี” คาดคำร้องให้สอบ 32 ส.ว. ถือหุ้นในบริษัทคู่สัญญาสัมปทานรัฐ เข้าข่ายมีความผิดหรือไม่ เข้าที่ประชุมกกต. 16 มิ.ย.นี้ หลังส่งให้อนุกรรมการสรุปความเห็นเสนอกกต. ส่วนคำร้องของส.ส.นั้นยังต้องให้อนุกรรมการตรวจสอบอีก หลังพบมีจำนวนมาก
วันนี้(13 มิ.ย.) ที่โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แคว รีสอร์ท จังหวัดกาญจนบุรี นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีคนร้องให้กกต.พิจารณาส.ว.เลือกตั้งและสรรหา จำนวน 32 คน ที่อาจเข้าข่ายสิ้นสุดการเป็นสมาชิกภาพ เนื่องจากไปถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐในลักษณะผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทสัมปทานหรือเข้าคู่สัญญา นั้น ในวันอังคารที่ 16 มิ.ย.นี้ คาดว่าน่าจะนำเข้าที่ประชุมกกต.อีกครั้ง หลังจากที่กกต.ได้ให้ที่ปรึกษากฎหมายไปดูข้อกฎหมายแล้วส่งให้กับคณะอนุกรรมการวินิจฉัยสรุปความเห็นเสนอต่อกกต.ว่าจะมีความเห็นอย่างไร
นางสดศรี กล่าวว่า สำหรับกรณีนี้ก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการมีความเห็นเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 เห็นว่าไม่ผิด แต่เมื่อกกต.เห็นว่าเป็นข้อกฎหมาย จึงส่งให้คณะที่ปรึกษากฎหมายดูอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในขั้นตอนของคณะอนุกรรมการฯก็ได้ทำอย่างละเอียด เอกสารมีจำนวนมากหลายกล่อง โดยได้มีการเรียกส.ว.มาให้ถ้อยคำด้วยอย่างไรก็ตาม หากกรณีนี้กกต.เห็นว่าเข้าข่ายผิดกฎหมาย ก็จะต้องส่งเรื่องไปยังประธานวุฒิสภา เพื่อส่งเรื่องต่อศาลรัฐศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ส่วนการพิจารณากรณีคำร้องส.ส.ถือหุ้นนั้นกกต.ได้ให้อนุกรรมการตรวจสอบอยู่ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก
เมื่อถามว่า ส.ว.จำนวนดังกล่าวถือหุ้นมาก่อนเข้ารับตำแหน่งจริงก็ตรงกับที่กฎหมายต้องห้ามมิให้ถือหุ้นก็อาจเข้าข่ายได้ นางสดศรี กล่าวว่า ส.ส.และส.ว.บางคนไม่รู้และก็ไม่ได้ดูกฎหมายก่อน และบางครั้งการที่พรรคการเมืองถูกยุบพรรคก็เพราะโดยบังเอิญ กรรมการบริหารพรรคไม่ได้ดูแลอย่างทั่วถึง
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการวินิจฉัย ส.ว.ถือหุ้นได้มีมติ 3 ต่อ 2 โดยเสียงข้างมากเห็นว่าในแง่การตีความข้อกฎหมายว่าถึงแม้กรณีส.ว.ถือครองหุ้นมาก่อนดำรงตำแหน่งแต่ไม่ใช่เหตุให้สิ้นสุดการเป็นสมาชิกภาพได้ แต่เสียงข้างน้อยเห็นว่าข้อเท็จจริงกรณีที่ส.ส.หรือส.ว.ได้ถือครองหุ้นไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่ามีการถือครองหุ้นก่อนเป็นส.ส.หรือส.ว.หรือไม่ ก็ย่อมเป็นหน้าที่ของส.ส.หรือส.ว.ผู้นั้นจะต้องปลดเปลื้องให้พ้นจากการรับสัมปทานหรือถือหุ้นในส่วนในบริษัทที่รับสัมปทาน และเมื่ออนุกรรมการมีเสียงแตกทำให้กกต.สั่งให้ที่ปรึกษากฎหมายของกกต.ได้พิจารณาในข้อกฎหมายกระทั่งที่ปรึกษากฎหมายเห็นในแนวทางเดียวกับเสียงข้างน้อย
