โฆษกมาร์ค เหน็บม็อบเสื้อแดงคนแห่ร่วมชุมนุมแค่หลักหมื่น เหตุถูกหักค่าหัวคิวจนเกลี้ยง แขวะแก๊งหัวขวดไปออกอากาศรายการสู้แล้วรวย สับ “ไข่แม้วดำ” ทำตัวเป็นหน้าม้า ชงถวายฎีกา พา “แม้ว” กลับประเทศ ซัด จวบจ้วง ใช้มวลชนแค่หยิบมือเดียว กดดันพระราชอำนาจ
วันนี้ (28 มิ.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอขอบคุณกลุ่มเสื้อแดงที่ชุมนุมภายใต้กฎหมายไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่จะเห็นได้ว่าการชุมนุมครั้งนี้มีจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมน้อยกว่าทุกครั้ง โดยรัฐบาลมีการประเมินว่าจะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมร่วม 3 หมื่นคน แต่ความจริงแล้วมีผู้มาร่วมชุมนุมแค่หลักหมื่นกว่าๆ และมีคน กทม.เข้าร่วมชุมนุมเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมจากต่างจังหวัดที่มีการจัดตั้งเข้ามา จนทำให้การชุมนุมต้องอยู่กันจนถึงเช้า เพราะไม่สามารถขนคนออก ในช่วงกลางคืนจึงเป็นเหตุผลให้การชุมนุมข้ามคืน และพลาดเป้าที่วางไว้ ดังนั้น สิ่งที่แกนนำต้องกลับไปดูกันว่า สาเหตุที่พลาดเป้าครั้งนี้มีการอม หรือหักค่าหัวคิวเกิดขึ้นหรือไม่ แม้ว่าจะพลาดเป้าไปบ้างแต่การจัดการครั้งนี้ ก็ประสบผลสำเร็จทำให้แกนนำสามารถจัดงานครั้งนี้ได้
“เหมือนกับรายการทีวีที่ได้ยกเลิกไปแล้ว คือ รายการสู้แล้วรวย ถ้ารายการนี้ยังมีอยู่อยากให้เชิญแกนนำ นปช.มาออกรายการให้เป็นตัวอย่าง การหารายได้ให้กับประชาชน เพราะรวยกันทุกคน”
นายเทพไท กล่าวว่า การชุมของ นปช.ครั้งนี้ เหมือนฟ้าดินเป็นใจ ที่มีฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก จะเห็นได้ว่า การชุมนุมของ นปช.2 ครั้ง เหมือนถูกฟ้าดินลงโทษโดยที่รัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องไปควบคุมอะไรทั้งสิ้น แต่กลุ่มคนเสื้อแดงออกมากล่าวหาว่า รัฐบาลมีการสร้างแดงเทียม น้ำเงินเทียม รวมถึงฝนเทียมขึ้นมา จึงไม่เข้าใจแนวคิดของกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะฝนเทียมใครก็ทำได้ แต่ถ้าจะเป็นฟ้าผ่าเทียมคงทำไม่ได้ ถ้าทำได้ก็จะทำให้ฟ้าผ่าลงเวทีของคนเสื้อแดง
นายเทพไท กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายของการชุมนุมครั้งนี้ มีการขึ้นป้ายหลังเวที ว่า “สืบสานเจตนาคณะราษฎร์ โค่นรัฐบาลอำมาตย์ ทวงคืนประชาธิปไตย” อาจจะสับสนในเป้าหมายเพราะจุดยืนบนเวทีต้องการ ที่จะพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน โดยการโยนลูกถามเรื่องถวายฎีกาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พูด โดยมี นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง ทำหน้าที่เป็นอัศวพักตร์ พูดง่ายๆ คือ หน้าม้า ทำหน้าที่ในการพูดโฟนอินเรื่องถวายฎีกา ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบรับ ถึงขนาด พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาระบุว่า สุดแท้แต่พระกรุณาธิคุณ ซึ่งภาษาชาวบ้านแปลว่า สุดแต่จะตัดสินใจ ถือเป็นพฤติกรรมที่จาบจ้วง ไม่ควรใช้มติของคนแค่หยิบมือเดียวมากดดัน ถ้าอยากให้มีการพระราชทานอภัยควรถาม นายวีระ เพราะเคยคิดคุกมาก่อน แล้วได้รับการอภัยโทษ นายวีระ คงลืมไปว่า คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้ถือ พล.อ.เปรม แต่วันนี้ นายวีระ สนองคุณ พล.อ.เปรม อย่างไรประชาชนรู้ดี
โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรค ปชป.กล่าวว่า ถ้าการขอพระราชทานอภัยโทษทำได้ คนที่อยู่ในคุกจำนวนมาก ก็จะลุกขึ้นมาเรียกร้องเช่นเดียวกัน และถ้าคนที่มาขอพระราชทานอภัยโทษเป็นนักการเมืองที่โกงกิน จนถูกจับได้ และต้องเข้าคุก แต่มีมวลชนในมือ นักการเมืองเหล่านั้นก็สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิ์ที่จะทำได้ แต่ต้องทำในฐานะส่วนตัว และเงียบๆ ไม่มีใครประกาศเอามวลชนมากดดันพระราชอำนาจ
“การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน ว่า ตนเองรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ต่างประเทศมานาน 3 ปี เหงาเหลือเกิน แสดงว่าคิดถึงแต่เรื่องตัวเอง กลัวจะถูกโดดเดี่ยว กลัวว่า ตัวเองจะได้รับโทษ จึงต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศถึง 3 ปี แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมเข้าคุกอยู่ในคุกแค่ 2 ปี อีก 1 ปีคือว่ากำไร แต่สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำขณะนี้ คือ ต้องการดิ้น ให้หลุดคดีการติดคุก 2 ปี แต่ลืมไปว่ายังมีคดีที่รอการพิจารณาอยู่ในชั้นศาลอีก 17 คดี ดังนั้น หากจะทำการถวายฎีกาต้องทำถึง 17 ครั้ง”
นายเทพไท กล่าวว่า เนื้อหาการโฟนอิน ยังมีการโจมตีการทำงานของรัฐบาล โดยทำตัวเป็นผู้วิเศษ พยายามพูดว่าตัวเองเพียงคนเดียว ที่จะสามารถแก้ไขวิกฤต และพาประเทศนี้ให้พ้นจากวิกฤตได้ พร้อมตั้งฉายารัฐบาลชุดนี้ว่า รัฐบาลกู้หนี ขึ้นภาษี ไล่บี้ทักษิณ ตนขอตั้งฉายารัฐบาลทักษิณ ว่า รัฐบาลทักษิณโกงกิน ขายสมบัติชาติ ผูกขาดตัดตอน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลอยู่ในระว่างแก้ไขวิกฤตของประเทศชาติ แต่สถานการณ์ขณะนี้ไมได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลก
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเคลื่อนไหวอีก 2 ครั้งของกลุ่ม นปช.พรรคประชาธิปัตย์ ประเมินว่า จะมีประชาชนเข้าร่วมชุมนุมมากขึ้นหรือไม่ นายเทพไท กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับประเด็นที่จะชูขึ้นมา เช่น การเคลือนไหวครั้งนี้ มีการชูเรื่องการโค่นอำมาตยาธิปไตย แต่จะเห็นว่า ประชาชนเข้ามาร่วมจำนวนน้อย เพราะรู้ว่าที่มาของรัฐบาลุดนี้ ไม่ต่างจากรัฐบาลของ นายสมัคร สุนทรเวช หรือ รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่มาจากรัฐธรรมนูญปี 50 โดยมาจาก ส.ส.ชุดเดียวกันผ่านกลไกในสภา ดังนั้น การเคลื่อนไหวอีก 2 ครั้ง จึงขึ้นอยู่กับประเด็นว่าจะทำให้ประชาชนให้ความสนใจอยากเข้าร่วมด้วยหรือไม่ เพราะยุทธศาสตร์สำคัญจะมีการเปลี่ยนจากสนามหลวง มาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กองทัพบก และ ทำเนียบรัฐบาล แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประชาชนได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 13 เม.ย.จึงไม่มีใครอยากให้มาทำลายประเทศบ้านเมือง นอกจากจะช่วยให้พ้นวิกฤต