แกนนำพันธมิตรฯ ยื่นหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช.เรียกร้องให้เร่งรัดคดีตำรวจฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม หลังผ่านมา 8 เดือน ญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บยังไม่มีวีแววจะได้รับความเป็นธรรม ท่ามกลางกระแสข่าวการใช้อิทธิพลเตะถ่วง-บิดเบือนรูปคดีเพื่อผลประโยชน์ทับซ้อนของประธาน ป.ป.ช. ด้าน “วิชา-กล้านรงค์” ออกมารับหนังสือด้วยตัวเอง แจงเหตุคดีล่าช้า
เมื่อเวลาประมาณ 09.55 น.ที่ผ่านมา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอติดตามและให้เร่งรัดคดีการเข่นฆ่าและทำร้ายประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยนายวิชา มหาคุณ และนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.ออกมารับหนังสือ พร้อมกับยืนยันว่าทาง ป.ป.ช.ไม่ได้ถ่วงเรื่องแต่อย่างใด เพียงแต่ขั้นตอนการสอบสวนมีอุปสรรค เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาบางคนขอเลื่อนการให้ปากคำหรือให้สอบพยานเพิ่ม และยืนยันว่าการที่นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.เรียน วปอ.รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.นั้นจะไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตำรวจซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่าบุตรชายของนายปานเทพไม่ได้รับราชการตำรวจอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ แกนนำพันธมิตรฯ ได้เรียกร้องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะเวลาล่วงเลยมากว่า 8 เดือนแล้ว แต่ยังมีความคืบหน้าของคดีน้อยมาก ตามเนื้อหาของหนังสือที่ยื่นต่อประธาน ป.ป.ช.ดังนี้
“ตามที่ได้มีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2551 ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐในขณะนั้นได้สั่งการให้สลายการชุมนุม ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งได้ชุมนุมอย่างสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธที่หน้ารัฐสภา โดยเจ้าหน้าที่รัฐได้ปฏิบัติการด้วยวิธีการรุนแรงและใช้อาวุธในรูปแบบต่างๆ ต่อเนื่องกันหลายครั้ง ตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงเวลากลางคืน จนเป็นสาเหตุทำให้มีประชาชนเสียชีวิต พิการ และได้รับบาดเจ็บจำนวนมากตลอดทั้งวัน แต่ผู้ที่ได้สั่งการและปฏิบัติการดังกล่าวทั้งหมดก็หาได้มีความพยายามที่จะยุติการกระทำดังกล่าวไม่
การกระทำดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ของวุฒิสภา และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต่างสรุปรายงานตรงกันว่า เรื่องดังกล่าวมีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากต้องได้รับโทษทางกฎหมาย และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้รับเรื่องและไต่สวนคดีดังกล่าวมาเป็นระยะเวลาประมาณ 8 เดือนแล้ว ญาติของวีรชนผู้เสียชีวิต ผู้พิการ และผู้บาดเจ็บจำนวนมากจากคดีดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับความยุติธรรมแต่ประการใด เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนยังคงมีตำแหน่งหน้าที่ในระดับสูงต่อไปและยังไม่ได้รับบทลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น
เนื่องจากคดีดังกล่าวเกี่ยวพันกับผู้ที่มีอิทธิพลที่เป็นนักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมาก พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงขอแสดงความเห็นใจและให้กำลังใจต่อผู้ที่ดำเนินคดีดังกล่าวใน ป.ป.ช. ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับการข่มขู่คุกคามหลากหลายรูปแบบจากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้รับทราบกระแสข่าวมาว่ามีนักการเมืองและข้าราชการตำรวจระดับสูงในปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวได้พยายามหาหนทางในการถ่วงเวลาหรือบิดเบือนคดีดังกล่าว เพื่อให้ตัวเองและพวกพ้องได้รับประโยชน์แห่งคดีมากที่สุด
ประกอบกับมีข้อมูลว่า ท่านประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เคยเข้าเรียนหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นเดียวกันกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีฐานะเป็นพี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวพันกับคดีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จึงทำให้ญาติของวีรชนผู้เสียชีวิต ผู้พิการ และผู้บาดเจ็บจากคดีดังกล่าว ตลอดจนประชาชนทั่วไป มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า สาเหตุที่ท่านประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่นำผลการไต่สวนของอนุกรรมการในคดีดังกล่าวซึ่งได้รายงานต่อสังคมเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนหน้านี้ ให้เข้าที่ประชุมใหญ่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณานั้น เป็นเพราะว่าท่านประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือไม่?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2552 จะมีการโยกย้ายข้าราชการตำรวจจำนวนมาก ข้อสงสัยในเรื่องการถ่วงเวลาโดยการไม่นำเรื่องคดีดังกล่าวเข้าพิจารณาในคณะกรรมการ ป.ป.ช. อันเนื่องมาจากสายสัมพันธ์ระหว่างท่านประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณนั้น ยิ่งทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยมากยิ่งขึ้นว่าเป็นการวางแผนที่จะต้องการให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ได้มีโอกาสปรับโยกย้ายข้าราชการตำรวจก่อนหรือไม่? หรือต้องการที่จะช่วยเหลือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ให้รอดพ้นจากคดีนี้หรือไม่?
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เห็นว่า ข้อสงสัยในกรณีนี้จะทำให้เกิดความมัวหมองต่อท่านประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ ป.ป.ช.ทั้งหมด เพราะถ้าหาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นผู้ที่จะถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในคดีอุกฉกรรจ์แล้ว การถ่วงเวลาในคดีความให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหรือมีอำนาจตัดสินใจโยกย้ายข้าราชการตำรวจเสียก่อน ย่อมจะเป็นผลทำให้ ป.ป.ช.ถูกข้อครหาได้ว่ามีส่วนร่วมทำให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบยุติธรรมของประเทศ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นต้นธารในการพิจารณาคดีความที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง ดังนั้น หากการโยกย้ายข้าราชการตำรวจมาจากการตัดสินใจจากผู้ที่กระทำผิดกฎหมายในคดีการทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชนเสียเอง ย่อมไม่สามารถทำให้สังคมเกิดความสงบสุขในคดีต่างๆได้ จนถึงขั้นอาจทำให้สังคมไทยเข้าสู่กลียุคในที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งถือเป็นคู่กรณีโดยตรงกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำความผิดในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2551 ก็ไม่อาจเชื่อมั่นได้ว่าจะได้รับความเป็นธรรมได้เช่นกัน ซึ่งรวมถึงคดีการใช้อาวุธสงครามบุกยิงสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใจกลางพระนคร ก็ได้ปรากฏเป็นข่าวอย่างชัดเจนแล้วว่ากำลังถูกคุกคามและแทรกแซงอย่างหนัก ทั้งจากนักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐหลายฝ่าย
การปล่อยเวลาให้ผู้ที่กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธและความรุนแรงต่อประชาชนจนมีผู้เสียชีวิต พิการ และบาดเจ็บจำนวนมาก ได้ทำงานและปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐต่อไป จะทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ความเสี่ยงในเรื่องความรุนแรงและการสูญเสียเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นอันตรายต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงเรียนมาเพื่อขอให้ท่านประธานคณะกรรมการ และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมและให้ความเป็นธรรมต่อญาติของวีรชนผู้เสียชีวิต ผู้พิการ และผู้บาดเจ็บ และขจัดข้อเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนทั้งหลายดังที่กล่าวมาข้างต้น ด้วยการเร่งรัดคดีการเข่นฆ่าและการทำร้ายประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2552 เพื่อคลี่คลายวิกฤตของชาติโดยเร็วที่สุด”